10 สิ่งที่น่ารู้เกี่ยวกับดินเเดนอาทิตย์อุทัย

ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีความหลากหลายในด้านต่างๆ อีกทั้งยังเป็นประเทศในฝันของใครหลายๆคน ด้วยความที่ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่สะอาด ผู้คนมีระเบียบ มีสภาพภูมิอากาศที่ดี เเละมีวัฒนธรรม หรือ ธรรมเนียมหลายๆอย่างที่ค่อนข้างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่ว่าจะเป็น อาหารการกิน หรือการเเต่งกาย สิ่งเหล่านี้ก็ถือเป็น Soft Power ที่ช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยือนดินเเดนเเห่งนี้ สำหรับใครที่ชื่นชอบ เเละอยากรู้เกี่ยวกับเรื่องเล็กๆน้อยๆ ของที่นี่ หรือเป็นนักท่องเที่ยวที่กำลังจะไปญี่ปุ่นในช่วงนี้ วันนี้เราก็มี 10 สิ่งน่ารู้ก่อนไปเยือนเมืองปลาดิบเเห่งนี้ เผื่อว่าจะสามารถช่วยให้คุณรู้จักประเทศญี่ปุ่นมากขึ้น ไปดูกันเลยว่ามีอะไรบ้าง!

การใช้บันไดเลื่อนที่ถูกต้อง

From: from japan

     หากพูดถึงเรื่องบันไดเลื่อนเเล้ว ในประเทศญี่ปุ่นนั้นให้ความสำคัญกับสิ่งนี้มากๆ ด้วยความที่เป็นสิ่งอำนวยความสะดวก เพราะฉะนั้นความปลอดภัยก็ถือเป็นสิ่งสำคัญ โดยการขึ้นบันไดเลื่อนของญี่ปุ่นต้องมีการยืนชิดที่ฝั่งใดฝั่งหนึ่ง เพื่อเว้นทางเดินที่เหลือไว้ให้สำหรับคนที่รีบจริงๆ ไปได้อย่างรวดเร็วเเละสะดวก ซึ่งช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุที่ๆไม่คาดคิดในการใช้บันไดเลื่อนด้วย บางภูมิภาคของญี่ปุ่นก็จะมีลักษณะการยืนชิดขอบบันไดที่ต่างกัน เช่น 

 ภูมิภาคคันโต ( โตเกียว ชิบะ โทชิงิ เเละอื่นๆ) จะมีการยืนชิดซ้ายขอบบันได       

 ภูมิภาคคันไซ ( โอซาก้า นารา เฮียวโกะ เเละอื่นๆ) จะเน้นการชิดขวาเป็นหลัก

ชุดกิโมโน

visit gunma.com

  ชุดกิโมโนเป็นชุดประจำชาติ ของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งหลายคนน่าจะคุ้นเคยกันดีสำหรับชื่อนี้ โดยการใส่ที่ถูกต้องให้ใส่เเบบซ้ายทับขวา (ซ้ายบน-ขวาล่าง) ส่วนความสำคัญของชุดกิโมโน คือจะใส่ในพิธีต่างๆที่สำคัญๆ เเละเป็นทางการ เช่นพิธีจบการศึกษา รับปริญญา เเต่ก็สามารถใช้ใส่ในการถ่ายรูป หรือการทำกิจกรรมที่ไม่เป็นทางการก็ได้ ซึ่งหลายคนจะสับสนกับ ชุดยูกาตะ กับ ชุดกิโมโน เพราะด้วยลักษณะที่คล้ายคลึงกัน เเต่ก็สามารถเเยกออกด้วยได้การที่ดู โอบิ หรือผ้าพันรอบเอวของชุดนั่นเอง เพราะยูกาตะจะไม่มี โอบิ

ซูโม่

From:  Eyaida.com

     ซูโม่ ถือเป็นกีฬาที่สำคัญมากของชาวญี่ปุ่น เเละยังเป็นกีฬาประจำชาติอีกด้วย ซึ่งเป็นการเเข่งขันที่เเข่งกันเฉพาะผู้ชายเท่านั้น การที่จะลงเเข่งซูโม่ได้ จะต้องมีน้ำหนักอย่างน้อยประมาณ 70 กิโลกรัมขึ้นไป เเละส่วนสูงอย่างต่ำ 167 เซนติเมตร ซึ่งจะเเข่งขันกันบนเวทีขนาดใหญ่ภายในเส้นวงกลมที่เรียกว่า โดะเฮียว เกณฑ์การชนะก็คือหากใครที่ออกจากเส้นวงกลมก่อนเป็นผู้เเพ้ ในระหว่างการเเข่งขันห้ามใช้การต่อย หรือ เตะ เด็ดขาดเนื่องจากผิดกฎการเเข่งขัน

กีฬาเบสบอล

From: mainstand

  เบสบอลเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในหมู่วัยรุ่นญี่ปุ่น ถึงจะไม่ได้มีถิ่นกำเนิดมาจากญี่ปุ่นก็ตาม เเต่ก็อยู่กับชาวญี่ปุ่นมาอย่างยาวนานตั้งเเต่ ปี 1872 กีฬานี้ในทุกๆปีจะมีการเเข่งขันในระดับโรงเรียน เเละ ระดับประเทศเกิดขึ้น คนญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับกีฬาชนิดมากเช่นเดียวกับ ซูโม่เลย ซึ่งเมื่อผ่านการเเข่งขันกันอย่างดุเดือดในหมู่นักเรียนมัธยมปลาย เส้นทางสุดท้าย หรือรอบชิงชนะเลิศระดับประเทศ ก็จะถูกจัดขึ้นที่ สนามฮันชินโคชิสเตเดียม ในจังหวัดเฮียวโกะ ถือเป็นความฝันของชาวญี่ปุ่นหลายๆคน ที่จะได้มาเเข่งในสถานที่นี้

ทำไมถึงไม่เจอเลข 4 บนลิฟต์ญี่ปุ่น หรือในลานจอดรถ?

From: Daratop.com

     เคยสงสัยกันไหมว่าทำไมเวลาที่เราขึ้นลิฟต์ หรือ เวลาจะจอดรถตามที่ต่างๆที่ประเทศญี่ปุ่น เราจะไม่เจอเลข 4 เลย เเต่จะเห็นเป็นตัวเลข 3A มาเเทน ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ทำให้หลายๆคนสงสัยว่าทำไม? เหตุผลก็เพราะว่าในทางภาษาญี่ปุ่นเเล้ว การออกเสียงของเลข 4 (shi) นั้นมีความหมายที่ไม่ดีนัก นั่นก็คือการที่ไปคล้องกับคำว่าตาย (shini) นั่นเอง จึงกลายเป็นเลขที่ไม่ดี หรือ อัปมงคล  เเละนอกจากเลข 4 เเล้ว ก็ยังมีเลข 9 อีกเช่น เมื่อเราไปโรงเเรมหรือสถานที่พักพิง ต่างๆ ก็จะเเทบไม่พบเลข 9 เลย เป็นผลมาจากการออกเสียงคล้องกับคำว่า ความเจ็บปวดในภาษาญี่ปุ่น นั่นเอง

การซดอาหารประเภทเส้นเสียงดัง

From: image holiday

     เวลาเราเข้าไปรับประทานอาหารให้ร้านอาหารต่างๆ ที่ญี่ปุ่นก็มักจะเจอชาวญี่ปุ่นที่กำลังดื่มซดน้ำซุปเสียงดัง อย่างน่าเอร็ดอร่อย ซึ่งบางคนอาจจะไม่รู้ก็มองว่าเป็นการเสียมารยาท เเละ อาจจะรบกวนผู้อื่นหรือป่าว เเต่ในความเป็นจริงเเล้วเหตุผลที่ทำให้เป็นอย่างนั้นคือ เป็นการบ่งบอกว่าอาหารนั้นๆ มีความอร่อย ยิ่งเสียงซดดังเท่าไหร่ ก็ยิ่งเเสดงให้เห็นว่ารสชาติของเมนูนั้นๆเยี่ยมยอดมากๆ โดยเรามักจะเจอในอาหารประเภทเส้นเช่น ราเมง โซบะ หรือ อูด้ง เป็นต้น เเละนอกจากนี้การซดเสียงดังก็ถือเป็นมารยาทอย่างหนึ่งที่สำคัญของชาวญี่ปุ่นด้วย

ออนเซ็นกับรอยสัก

 From: kiji.life

    เคยไหมเวลาไปออนเซ็น เรามักจะเห็นป้ายติดเอาไว้เสมอว่ามีรอยสักห้ามลงน้ำ ซึ่งสำหรับคนที่มีรอยสักก็อาจจะเสียใจอยู่ไม่น้อย เพราะการเเช่ออนเซ็นก็ถือเป็นความฝันของใครหลายๆคน เเต่เหตุผลที่ห้ามคนมีรอยสักลงเเช่นั้นคือ คนญี่ปุ่นนั้นค่อนข้างที่จะยึดถือกับธรรมเนียมปฏิบัติมากๆ และจะมองว่าคนที่มีรอยสักนั้น เป็นสัญลักษณ์ของบุคคลที่ต่อต้านสังคม ด้วยความที่อาจไปคล้ายคลึงกับลักษณะของ นักเลง หรือ ยากูซ่า ในญี่ปุ่นที่มีรอยสักทั่วร่าง เเต่ในบางที่ก็มีการอนุโลมให้สามารถลงเเช่น้ำได้ เเต่ต้องมีการปกปิดรอยสักก่อน

Golden week

 From: ohhotrip.com

     สำหรับชาวญี่ปุ่นเเล้ว การที่ได้หยุดพักจากความเหนื่อยล้ามาตั้งเเต่ช่วงต้นปีถือเป็นอะไรที่ดีมากๆ เนื่องจากในปีนึงของญี่ปุ่น จะมีวัดหยุดที่หยุดติดต่อกินเป็นเวลาหลายวัน หรือที่เราเรียกกันว่า Golden week นั่นเอง หรือจะพูดง่ายๆเลยก็ สัปดาห์ทอง คือวันหยุดที่เริ่มจาปวันที่ 29 เมษายน (วันโชวะ) ยาวไปถึง วันที่ 5 พฤษภาคม (วันเด็กผู้ชาย) เพราะเนื่องจากภายในวันที่ 29 เมษายน ถึง 5 พฤษาคมนั้น มีวันสำคัญทางราชการที่สำคัญเช่น

  1. วันที่ 3 พฤษภาคม ตรงกับวันแห่งรัฐธรรมนูญ 
  2. วันที่ 4 พฤษภาคม ตรงกับวันสีเขียว 

เป็นต้น 

ในวันนี้หลายๆครอบครัวก็จะมีการไปเที่ยวด้วยกัน เเละ ใช้เวลากับคนในครอบครัว คนที่ทำงานต่างจังหวัดก็จะกลับมาหาพ่อเเม่ พี่น้อง ของตน

การให้กระดุมเม็ดที่ 2 กับคนที่ชอบ

From: Daco-thai.com

     ในวัญพิธีจบการศึกษาของญี่ปุ่น หรือวันสุดท้ายของก่อนการปิดภาคเรียน เราจะมักจะเห็นผ่านใน ซีรีส์ หรือ การ์ตูนอนิเมะ ญี่ปุ่นบ่อยๆว่า จะมีผู้หญิงมอบกระดุมเม็ดที่ 2 ให้กับผู้ชายที่ตนเองชอบ ซึ่งนี่คือการเเสดงออกต่อความรักอย่างนึง หมายความประมาณว่า ฉันชอบคุณนะ หรือ ฉันรักคุณ ในทำนองนั้น  ซึ่งสิ่งนี้มีมาตั้งเเต่ปี 1960 ในญี่ปุ่น โดยหากได้กระดุมเม็ดที่ 2 ตอบรับกลับมาก็แสดงว่าอีกฝ่ายก็มีความรู้สึกดีๆให้เราเช่นกัน เเต่ เเล้วทำไมต้องเป็นกระดุมเม็ดที่ 2 ล่ะ หลายคนสงสัย? เพราะตามทฤษฎีที่คนส่วนใหญ่พูดถึง กระดุมเม็ดที่ 2 หมายถึง คนที่สำคัญที่สุดของเรา นั่นเอง

มารยาทในการใช้ตะเกียบบนโต๊ะอาหาร

 

From: ikidane nippon

     คนญี่ปุ่นนั้นจะให้ความสำคัญการความสะอาด เเละ สุขอนามัยเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงมีทารยาทหลักในการใช้ตะเกียบ เพื่อปลูกฝังให้เกิดความเคยชิน โดยก่อนการใช้ตะเกียบก็ต้องมีการจุ่มลงในซุปร้อนก่อนด้วย ส่วนข้อบังคับหลักๆเลย เช่น การไม้ใช้ตะเกียบของตนเองคีบอาหารให้กับคนอื่น การที่ไม่ควรอมตะเกียบไว้ปาก หรือ เลียตะเกียบหลังคีบอาหาร  การถือด้วยตะเกียบข้างหนึ่ง เเละถือถ้วยอาหารไปอีกข้างหนึ่ง ซึ่งข้อบังคับเหล่านี้ ทำให้เป็นประโยชน์ต่อคนญี่ปุ่นในหลายๆด้านด้วย เช่น บุคลิกภาพ หรือ การเข้าสังคม ในอนาคตเป็นต้น

เรื่องที่คุณอาจไม่เคยรู้เกี่ยวกับประเทศญี่ปุ่น

เมืองหลวงญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกต่างก็ต้องยกให้เป็นสถานที่ที่ต้องไปให้ได้สักครั้งในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการไปเยือนภูเขาไฟฟูจิอันเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่น หรือการไปสัมผัสวัฒนธรรมท้องถิ่นเองก็ตาม ทุกสิ่งทุกอย่างเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่น่าหลงใหล

ต้องขอบอกเลยว่าภัยพิบัติทางธรรมชาติไม่ใช่อุปสรรคที่ชุดรั้งเสน่ห์ของดินแดนแห่งนี้ หากคุณคือหนึ่งในผู้ที่หลงใหลในประเทศญี่ปุ่น เราขอพาคุณไปติดตามเรื่องราวน่ารู้เกี่ยวกับประเทศญี่ปุ่นที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน การศึกษาและทำความเข้าใจในวัฒนธรรมญี่ปุ่นจะทำให้คุณเห็นอัตลักษณ์ของประเทศแห่งนี้มากยิ่งขึ้น จะเรื่องราวอะไรน่าสนใจบ้างโปรดติดตาม

การซดบะหมี่เป็นมารยาทที่ดี

คนญี่ปุ่นชอบซดน้ำซุปบะหมี่ให้เสียงดังๆ

หากคุณมีโอกาสได้ไปเยือนเมืองหลวงญี่ปุ่น และได้เข้าไปร้านบะหมี่ขอให้คุณอย่าตกใจถ้าหากมีคนในร้านซดบะหมี่อย่างเมามันอย่างกับหนังจีน เพราะนี่คือการแสดงออกถึงความเคารพและบ่งบอกว่าบะหมี่ชามนั้นอร่อยมาก ในส่วนของมารยาทการรับประทานอาหารอาจจะแตกต่างจากที่บ้านเราเล็กน้อย แต่ขอให้จำไว้ว่าชาวญี่ปุ่นนั้นซดบะหมี่เสียงดังนั้นเป็นเรื่องที่ปกติ และถ้าหากคุณต้องการซึมซับวัฒนธรรมและดื่มด่ำไปกับบะหมี่ร้อนๆก็ลองซดแบบชาวญี่ปุ่นดูสิ เพราะการซดบะหมี่จะช่วยให้น้ำซุปเย็นลงอีกด้วย นอกจากนี้เชฟต้องประทับใจในตัวคุณเป็นแน่แท้

ประเทศญี่ปุ่นไม่ได้เต็มไปด้วยเมืองหลวง

ประเทศญี่ปุ่น จะเต็มไปด้วยสถานที่ธรรมชาติมากกว่าชุมชนเมือง
หากพูดถึงประเทศญี่ปุ่นที่เป็นสัญลักษณ์แห่งความเจริญในอาเซียน ภาพจิตนาการในหัวหลายๆคนอาจนึกถึงเมืองหลวงญี่ปุ่นที่เต็มไปด้วยแสงสีเสียง และนวัตกรรมล้ำสมัยมากมาย ก็จริงอยู่ว่านั่นอาจเป็นส่วนหนึ่งของประเทศแห่งนี้ แต่คุณรู้หรือไม่ว่าในความเป็นจริงนั้นประเทศญี่ปุ่นส่วนใหญ่มีสัดส่วนที่เป็นเมืองเพียงน้อยนิด ส่วนใหญ่นั้นถูกปกคลุมด้วยป่าไม้มากกว่า 70% และถูกห้อมล้อมด้วยภูเขาไฟมากกว่า 100 ลูก และภูเขาไฟฟูจิคือภูเขาที่สูงที่สุดในประเทศญี่ปุ่น โดยมีระดับความสูงถึง 3,766 เมตร เลยทีเดียว

เลขสี่ในประเทศญี่ปุ่นถือเป็นความโชคร้าย

เลข 4 ความตาย ความหมาย ความเชื่อ ของ ญี่ปุ่น
ในประเทศญี่ปุ่นสถานที่หลายๆแห่งจะหลีกเลี่ยงการใช้เลขสี่ ไม่ว่าจะเป็นเลขที่ใช้แปะป้ายราคาสินค้า หรือแม้แต่ลำดับชั้นเองก็ตามคุณอาจจะไม่เห็นเลขสี่เลยก็เป็นได้ เหตุผลที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า “เลขสี่” ในตัวหนังสือญี่ปุ่นอ่านออกเสียงว่า “Shi” หรือ “ชิ” ซึ่งดันไปพ้องเสียงกับคำที่มีความหมายว่า “ตาย” และนั่นเองคือเหตุผลที่คนญี่ปุ่นค่อนข้างหลีกเลี่ยงการใช้เลขสี่ในชีวิตประจำวัน ดังนั้นก็ขอให้รู้เอาไว้ว่าถ้าหากคุณได้มีโอกาสไปเยือนประเทศญี่ปุ่นและไม่เห็นเลขสี่ก็เป็นเพราะความเชื่อเรื่องโชคนั่นเอง

รถไฟญี่ปุ่นถือเป็นรถไฟที่ตรงต่อเวลาที่สุดในโลก

ทุกคนต่างนับถือประเทศญี่ปุ่นว่าเป็นประเทศที่ประชากรมีวินัยและระเบียบในการใช้ชีวิตมากที่สุดในโลก และนั่นคือหนึ่งในความภาคภูมิใจของพวกเขาชาวญี่ปุ่น และเรื่องที่น่ามหัศจรรย์อย่างหนึ่งในประเทศญี่ปุ่นก็คือรถไฟญี่ปุ่นถือเป็นรถไฟที่ตรงต่อเวลาที่สุดในโลก ใช่แล้วคุณฟังไม่ผิดหรอก รถไฟญี่ปุ่นนั้นตรงเวลาที่สุดในโลกจริงๆ เพราะทุกอย่างคือการแข่งขันแม้แต่คนขับรถไฟเองก็ถูกฝึกมาอย่างดี เพื่อให้ขับรถไฟได้อย่างชำนาญและตรงต่อเวลา เพราะการไม่ตรงต่อเวลาแสดงถึงความไร้ความรับผิดชอบที่คนญี่ปุ่นไม่อาจให้อภัย

ภัยพิบัติคือสิ่งปกติในประเทศญี่ปุ่น

ทุกการติดตามข่าวสารทางภัยพิบัติธรรมชาติ เรามักจะเห็นประเทศญี่ปุ่นถูกพาดเป็นหัวข้อหลักของข่าวอยู่เสมอ และการเกิดเหตุภัยพิบัติแต่ละครั้งของประเทศญี่ปุ่นก็มีหลายระดับ และมักจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา เหตุผลที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าประเทศญี่ปุ่นตั้งอยู่บริเวณรอยต่อของเปลือกโลก และการเคลื่อนที่ของเปลือกโลกสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ดังนั้นเมื่อเปลือกโลกเคลื่อนที่ทำให้ภายในรอยต่อของเปลือกโลกเกิดการงัด ดัน กระแทก นำมาสู่การเกิดแผ่นดินไหวและสึนามิ ทั้งนี้ยังไม่รวมถึงภูเขาไฟหลายแห่งที่อาจเกิดการปะทุได้อีกด้วย ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่ญี่ปุ่นเตรียมตัวรับมืออยู่ตลอดมา

ประเทศญี่ปุ่นมีภูเขาไฟที่สามารถปะทุได้อยู่ถึง 110 ลูก

หลายๆประเทศทั่วโลกต่างอิจฉาประเทศญี่ปุ่นที่มีธรรมชาติที่สวยงาม แต่เราขอให้คุณคิดใหม่อีกที เพราะถึงแม้ประเทศญี่ปุ่นจะมีทรัพยากรณ์ทางธรรมชาติที่น่าอิจฉา แต่ก็ต้องแลกมาด้วยความเสี่ยงทางภัยพิบัติทางธรรมชาติที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เพราะภูมิประเทศที่มีภูเขามากกว่า 110 ลูกนั้น เป็นภูเขาไฟที่อาจยังสามารถปะทุได้อยู่ ถึงแม้ปัจจุบันจะมีเทคโนโลยีที่สามารถเฝ้าระวังได้แล้ว แต่นั่นก็ไม่อาจทำให้เราสบายใจได้เลยหากความเสี่ยงเหล่านั้นยังสามารถเกิดขึ้นได้

ดอกซากุระเป็นสัญลักษณ์ที่ลึกซึ้งของประเทศญี่ปุ่น

ดอกซากุระ (cherry blossom) เป็นสัญลักษณ์ที่มีความหมายลึกซึ้งในประเทศญี่ปุ่น โดยดอกซากุระนี้แทนความหมายของความไม่ยั่งยืนของชีวิต ในช่วงแรกของการเบ่งบานของดอกซากุระนั้นช่างสวยงาม แต่พอเวลาผ่านไปเพียงไม่กี่สัปดาห์กลับร่วงหล่นและเหี่ยวเฉาเปรียบดั่งชีวิตที่มีความไม่แน่นอน

ตำนานก็อตซิลลา

ก็อตซิลลาเป็นผลงานภาพยนตร์ชื่อดังที่ถูกเผยแพร่ออกมาให้เราได้รับชมกันตั้งแต่ปี 2014 โดยใช้ชื่อ “ก็อตซิลล่า ปะทะ คอง” ซึ่งได้รับกระแสตอบรับอย่างล้นหลามจากแฟนๆทั่วโลก เพราะก็อตซิลลาที่อยู่ในภาพยนต์มีต้นแบบมาจากตัวร้ายในซีรีย์อุลตร้าแมนที่เป็นขวัญใจวัยเด็กของใครหลายๆคน โดยผลงานนี้ประสบความสำเร็จและกวาดรายได้ไปมากกว่า 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ถือเป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์จากญี่ปุ่นที่คุณควรรับชมสักครั้งเลยก็ว่าได้

Glico Man แลนด์มาร์คที่ทุกคนต้องไปเยือน

หลายคนที่กำลังจะไปเที่ยวที่โอซาก้านั้นจะต้องไม่พลาดที่จะขอไปเช็คอินหรือแชะภาพถ่ายเซลฟี่กับป้ายไฟ LED ของกูลิโกะแมน ที่ตั้งอยู่ในเขตโดทงโบริที่ ซึ่งย่านช้อปปิ้งและที่เที่ยวยอดฮิตที่อยู่ทางใต้ของจังหวัดโอซาก้า ในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งป้ายนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 1935 เพราะที่นี่คือป้ายไฟที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุดในโลกก็ว่าได้ ไม่ว่าใครก็ตามที่มาเยือนสถานที่แห่งนี้ต่างก็จะต้องแวะเวียนมาถ่ายรูปกับกูลิโกะแมนกันทั้งนั้น

ทุกคนคงอยากจะรู้แล้วใช่ไหมล่ะคะว่าทำไมป้ายไฟแห่งนี้ถึงมีความสำคัญ แถมยังเป็นสัญลักษณ์ที่โด่งดังมากๆของโอซาก้า งั้นเราจะมาบอกทุกคนเองค่ะว่าความเป็นมาของ Glico Man นั้นมีขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วป้ายนี้ถูกแก้ไขเปลี่ยนเปลี่ยนแปลงไปแล้วตั้งกี่ครั้ง แล้วอะไรที่ทำให้สถานที่แห่งนี้ถึงได้เป็นแลนด์มาร์คที่ใครๆต่างก็อยากจะมาถ่ายรูปกัน

ก่อนที่จะรู้ความเป็นมาของป้ายไฟกูลิโกะแมนนั้น ทุกคนรู้หรือไม่ว่าระยะทางที่กูลิโกะแมนที่วิ่งเข้าเส้นชัยนั้นเป็นแค่ระยะทางแค่ 300 เมตรเท่านั้น เป็นเพราะผลิตภัณฑ์ชิ้นแรกที่ “ริอิจิ เอซากิ” ที่เป็นผู้ก่อตั้งบริษัทกูลิโกะนั้นได้คิดค้นขนมที่มีชื่อว่า “ Glico Caramel” ซึ่งขนมชนิดนี้สามารถให้พลังงานได้ถึง 15.4 กิโลแคลอรี่ ซึ่งคิดเป็นพลังงานที่ใช้ในการวิ่งในระยะ 300 เมตรอย่างพอดิบพอดี ซึ่งนี่ก็คือที่มาของระยะทางการวิ่งเข้าเส้นชัยของกูลิโกะแมน

ป้ายไฟนีออนของกูลิโกะแมน (Glico Man Billboard) แห่งโดทงบุรินั้นถูกติดตั้งครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.1935 – 1943 ซึ่งมีความสูงถึง 33 เมตร โดยป้ายนั้นจะมีตัวหนังสือหลากหลายรวมทั้งสีที่ไม่ซ้ำกันในแต่ละตัวอักษร ด้วยความแปลกใหม่นี้เองนี้จึงทำให้ป้ายไฟนีออนนั้นเริ่มจะโด่งดังขึ้นมา แต่ในช่วงระหว่างนั้นเกิดภาวะสงคราม ป้ายดังกล่าวจึงถูกเอาออก แต่หลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง ป้ายนี้ก็ได้นำกลับมาติดอีกครั้งพร้อมกับดีไซน์ใหม่โดยบริเวณข้างใต้ของป้ายจะมีเวที่แสดงสำหรับคอนเสิร์ตหรืออีเว้นท์ต่างๆ

หลังจากนั้นก็มีการปรับเปลี่ยนป้ายมาเรื่อยๆ เนื่องจากป้ายนีออนกูลิโกะนั้นถูกพัฒนาให้ทันสมัยขึ้นตามกาลเวลา จนกระทั่งมาถึงป้ายรุ่นที่ 5 ที่ได้เปลี่ยนเป็นกูลิโกะในรูปแบบใหม่โดยมีกูลิโกะแมนที่กำลังทำท่าวิ่งเข้าเส้นชัย ซึ่งกูลิโกะในรูปแบบนี้นั้นเป็นรูปแบบที่โด่งดังที่สุดเพราะด้านหลังของกูลิโกะแมนจะมีสถานที่สำคัญที่เป็นสัญลักษณ์ที่มีชื่อเสียงในเมืองโอซาก้า ซึ่งสถานที่ 4 แห่งที่ปรากฎนั้นคือ ปราสาทโอซาก้า, พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำไคยุคัง, สนามกีฬา Osaka Dome และหอคอย Tsutenkaku Tower ซึ่งป้ายนีออนนี้ได้ทำหน้าที่มามากกว่า 16 ปี ก่อนที่จะสิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 2014

ในที่สุดป้ายไฟนีออนกูลิโกะแมน ( Glico Man Neon Billboard) ก็ถูกปรับเปลี่ยนพัฒนาจนเป็นรุ่นที่ 6 ซึ่งป้ายนี้ก็ได้เปิดตัวเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2014 จากป้ายไฟนีออนธรรมดาก็ถูกปรับเปลี่ยนกลายเป็นป้ายไฟ LED เพื่อเป็นการสดุดีแก่นักวิทยาศาสตร์ญี่ปุ่น และทำให้ทุกคนได้มารู้จักกับนักประดิษฐุ์ผู้คิดค้นไฟ LED สีน้ำเงิน จนได้รับรางวัลโนเบล สาขาฟิสิกส์

ป้ายไฟนีออนนี้ใช้ไฟ LED กว่า 140,000 ดวง สามารถประหยัดไฟกว่าเดิมได้หลายเท่า แถมให้แสงสว่างมากขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย ซึ่งป้ายนั้นมีขนาด 10.38 เมตร และมีความสูง 20 เมตร เป็นป้ายไฟรุ่นที่ 6 ที่เป็นภาพของกูลิโกะแมนที่เป็นชายชุดขาวที่กำลังวิ่งกางมือชูแขนอยู่บนลู่วิ่ง และด้านหลังของตัวกุลิโกะแมนจะมีวงกลมสีแดงอันใหญ่ซึ่งแสดงถึงสัญลักษณ์ของธงชาติญี่ปุ่น ซึ่งดูโดดเด่นสะดุดตาเป็นอย่างมาก

ในช่วงเวลากลางวันนั้นป้ายกูลิโกะแมนจะถูกปิดไฟ และเมื่อถึงเวลาตอนกลางคืน ป้ายไฟนี้จะเปลี่ยนเป็นจอที่มีแสงสวยงามสว่างไสวสุดๆ และจะฉายภาพเคลื่อนไหวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นภาพโลโก้ที่กูลิโกะแมนกำลังวิ่งอยู่บนลู่วิ่งที่สามารถเปลี่ยนแป็นแสงสีได้ หรือบางทีก็จะเป็นภาพของกล่องผลิตภัณฑ์กูลิโกะที่ล่วงลงมาทับบนตัวของกูลิโกะแมน และใครที่ไม่อยากพลาดถ่ายรูปกับกูลิโกะแมนนะคะ ในส่วนของป้ายไฟนี้จะเริ่มการเปิดไฟตั้งแต่เวลา 18.00 – 24.00 น.ของทุกวัน

Sharp ประสิทธิภาพแห่งการเป็นต้นแบบ

Sharp บริษัทยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นด้านสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เราคุ้นหู คุ้นตากันเป็นอย่างมาก โดยจุดเริ่มของบริษัทเริ่มจากการร่วมทุนของสามบริษัท อันได้แก่ ชาร์ป คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น ถือหุ้น 50% บริษัท ห้างเทพนคร พาณิชย์ จำกัด และ บริษัท กรุงไทยการไฟฟ้า จำกัด ถือหุ้นบริษัทละ 25% ซึ่งจะรวบรวมผลิตภัณฑ์ภาพและเสียง เครื่องใช้สำนักงาน อาทิ เครื่องถ่ายเอกสาร และสินค้าที่เป็นหมวดใหญ่ๆ อย่างเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ เครื่องฟอกอากาศที่มีระบบพลาสม่าคลัสเตอร์ ไมโครเวฟ และเตาอบพลังต่างๆ อาทิ ไอน้ำ และปัจจุบันด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าทำให้ชาร์ปมีการตอบรับด้วยการสร้างนวัตกรรมใหม่ขึ้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคให้ได้มากที่สุด

            ปัจจุบันทุกๆ บริษัท ทุกๆอุตสาหกรรมมุ่นเน้นที่จะพัฒนาและสร้างสิ่งใหม่ๆ ขึ้นมาเพื่อให้รู้สึกแปลกใหม่ เข้าลงแข่งขันกันในตลาดกันอย่างดุเดือดตลอดเวลา และเมื่อทุกๆ ธุรกิจเลือกใช้นวัตกรรมที่คล้ายหรือเหมือนกันแล้ว การนำเสนอคุณภาพ ประสิทธิภาพและความแตกต่างย่อมจะตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้มากที่สุด ฉะนั้นแล้วถ้าบริษัทอย่างชาร์ปไม่ลงมือพัฒนาก็จะต้องถูกลืมและกลืนหายไปกับเทคโนโลยีใหม่นี้

            ซึ่งในโอกาสนี้เอง Sharp เลือกใช้กลยุทธ์ที่ใช้นวัตกรรมเป้นตัวนำและปรับให้เข้ากับตลาด ปรับให้เข้ากับความต้องการของลุกค้า ซึ่งลูกค้าก็จะมีความแตกต่างกันในแต่ละท้องถิ่น ชาร์ปก็ให่ความใส่ใจและสนใจในตรงนี้ เพื่อให้ลุกค้าในแต่ละที่ได้รับความพึงพอใจมากที่สุด ผลลัพธ์ก็สามารถดูได้จากความสำเร็จ เริ่มต้นจากเป็นเพียงบริษัทผลิตดินสอกด (แท่งแรกของโลก) ก้าวนำสู่การเป็รแบรนด์ชั้นนำด้านเครื่องใช้ไฟฟ้า ภายใต้มุมมองและทัศนคติที่ว่า “Sharp Be Original”

            อย่างได้กล่าวไปแล้วว่าชาร์ปใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเป็นตัวกำหนดเทรน ใช้เทคโนโลยีกำหนดเทรนด์ ในช่วงนี้ทิศทางของตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งระดับโลกและแทบเอเชีย เทความสนใจหรือความนิยมไปที่ทีวีใกันเยอะ นอกจากช่วงมลพิษทางอากาศอย่างฝุ่น PM 2.5 ในประเทศไทยช่วงที่ผ่านมา ตลาดทีวียังเป็นที่นิยมอยู่อย่างไม่เสื่อมคลาย ซึ่งบทบาทของทีวีคือการสร้างความสนุกสนาน ติดตามข่าวสาร และผู้บริโภคก็เริ่มให้ความสำคัญในนวัตกรรมอย่างความคมชัด ซึ่งล่าสุดยกระดับความคมชัดไปถึง 8k แล้ว ทั้งนี้ยังมีระบบที่ชาญฉลาดอย่าง A.I. (Artificial Intelligence) หรือปัญญาประดิษฐ์

โดยทางบริษัทชาร์ปได้เน้นนำกลยุทธ์การเป้นผู้นำด้านนวัตกรรมมาต่อยอดและพัฒนา AIoT ผสานA.I. เข้ากับ IoT (Internet of Things) เพื่ออุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าทุกอย่างมีระบบการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต ร่วมการทำงานในเครือข่ายได้ ซึ่งในส่วนของตรงนี้จะตอบโจทย์ความสะดวกสบายและเหมาะสมกับผู้บริโภคคนนั้นๆ ได้ อย่างเทคโนโลยีที่ได้รับความสนใจไม่ใช่แค่เพียงในประเทศไทย แต่เป็นทั้งโลกคือทีวีที่มีจอภาพระดับความคมชัดอยู่ที่ 8k ซึ่งความชัดในระดับนี้ได้ถูกสร้างและพัฒนาอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2017 เพื่อสร้างความแตกต่างกับระดับความคมชัดที่มีอยู่ในตลาด โดยมีความชัดมากกว่าถึง 16 เลยทีเดียวเมื่อเทียบกับระดับ Full HD  เพื่อดึงดูดผู้บริโภคด้วยความบันเทิงเรื่องของความคมชัดสีสัน รายละเอียด เชื่อมต่อ AI การนำเสนอแบบสามดี  

            นอกจากนี้ ชาร์ปที่มีความโดดเด่นทางด้านความน่าเชื่อถือ เชี่ยวชาญ คิดค้นและสร้างสรรค์ ได้พัฒนาด้วยความแตกต่างทางเทคโนโลยี โดยการควบรวมธุรกิจกับ Foxconn บริษัทยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ให้กับแบรนด์ต่างๆ ซึ่งจะยิ่งส่งเสริมให้ชาร์ปมีความสมบูรณ์มากขึ้น ทั้งด้านความคิด นวัตกรรม และการผลิต ซึ่งสามารถนำไปต่อยอดและพัฒนาทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ด้วยคอนเซปต์ของแบรนด์ดังอย่างชาร์ป ที่เน้นนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ในเรื่องของความสะดวกสบายเพื่อสิ่งที่ดีกว่า กล่าวคือชาร์ปมุ่งเน้นไปที่การนำเสนอนวัตกรรมล้ำสมัยเพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของลูกค้า รวมถึงการผลิตสินค้าให้สอดคล้องกับความต้องการภายในตลาด ถือเป็นกลยุทธ์เดินนำผู้บริโภคพร้อมคำนึงถึงความเหมาะสมในการตอบสนองการใช้งาน

            อย่างไรก็ตาม นอกจากกลยุทธ์ดังกล่าวที่ได้พูดไปในเบื้องต้น ทางชาร์ปก็ยังมีการนำกลยุทธ์นำพรีเซนเตอร์มาใช้เพื่อให้จดจำง่ายที่สุด วึ่งจะมีการคัดเลือกดารา ศิลปินหรือบุคคลที่มีบุคลิกเหมาะสมกับสินค้าที่ต้องการสื่อสารไปยังลูกค้า โดยประเทศไทยได้นำพีเซนเตอร์อย่างคุณ “กันต์ กันตถาวร” เป็นตัวแทนของ TV LED รุ่นใหม่ เพื่อนำเสนอนวัตกรรมความคมชัดของจอภาพ ความกว้างของหน้าจอ ขอบจอบาง ซึ่งเป็นการสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้กับแบรนด์ได้เข้าถึงคนรุ่นใหม่มากขึ้น

One Piece การ์ตูนขวัญใจคนทั่วโลก

            ญี่ปุ่นเป็นประเทศต้นกำเนิดการ์ตูนทั้งในรูปแบบคอมมิคและอนิเมชั่นที่มีชื่อเสียงมากมายและหลายเรื่องได้ชื่อว่าเป็นตำนานและเป็นความทรงจำที่ดีของใครหลาย ๆ คน โดยที่คนไทยคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีก็มีอาทิเช่น Dragon Ball, Doraemon หรือ Sailor Moon เป็นต้น โดยในระยะยาวได้เพิ่มมูลค่าเป็นสินค้าต่าง ๆ เช่น ของเล่น ภาพยนตร์ เกม ที่มีในเครื่อง PlayStation หรือ Nintendo Switch ราคาก็มีหลากหลายกันไป

          และในช่วงประมาณ 20 ปีที่ผ่านมาการ์ตูนอีกเรื่องหนึ่งที่เข้ามาเป็นขวัญใจทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ไม่ใช่แค่ในประเทศไทยแต่ครอบคลุมไปทั่วโลกนั่นก็คือ One Piece นั่นเอง โดย One Piece เป็นการ์ตูนที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูงทั้งในเรื่องคำชื่นชมหรือเรื่องรายได้ พร้อมกับเป็นแรงบันดาลใจให้นักวาดรุ่นใหม่ ๆ อีกมากมาย โดยครั้งนี้เราจะมาดูกันถึงเรื่องราวของ One Piece กัน

            One Piece เกิดขึ้นมาจากปลายปากกาของนักวาดการ์ตูนรุ่นใหม่ไฟแรงอย่างอาจารย์ Eiichiro Oda ซึ่งหลังจากที่ตัวอาจารย์ได้รู้ว่าชื่นชอบการเขียนการ์ตูนตั้งแต่เด็กก็ได้พยายามฝึกฝนและเริ่มอาชีพนักเขียนการ์ตูนในปี 1992 ด้วยวัยเพียง 17 ปี ด้วยการส่งการ์ตูนสั้นเรื่อง Wanted เข้าประกวดในโครงการ Tezuka Award ที่จัดโดยนิตยสารการ์ตูนรายสัปดาห์ Shōnen Jump (โชเน็น จั๊มพ์) ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในญี่ปุ่นและคว้ารางวัลที่ 2 ไปครองจนได้ถูกชักชวนมาเป็นนักเขียนผู้ช่วยในสำนักพิมพ์

          หลังจากที่ได้เป็นผู้ช่วยอาจารย์นักเขียนที่มีชื่อเสียงมากมายก็ได้เก็บประสบการณ์และทักษะการเป็นนักเขียนการ์ตูนที่ดีและค้นหาลายเส้นที่เป็นตัวของตัวเองไปจนถึงแนวเรื่องที่ตัวเองสนใจจนกระทั่งในปี 1996 อาจารย์ Eiichiro Oda ก็ได้เขียนการ์ตูนเรื่องสั้นออกมาในชื่อ Romance Dawn, Version 1 และ Version 2 ซึ่งนั้นคือจุดเริ่มต้นของการ์ตูนเรื่อง One Piece

            ปี 1997 ในขณะที่อายุ 22 ปี อาจารย์ Eiichiro Oda ได้เริ่มต้นเขียน One Piece อย่างจริงจัง ในแนวเรื่องโจรสลัด ซึ่งแหวกตลาดการ์ตูนตอนนั้นเป็นอย่างมาก มีตัวเอกชื่อ มังกี้ ดี. ลูฟี่ และ ผองเพื่อนเป็นตัวดำเนินเรื่อง โดย มังกี้ ดี. ลูฟี่ เป็นเด็กที่ได้บังเอิญไปกินผลปีศาจ ทำให้ร่างกายสามารถยืดหยุ่นได้เหมือนยาง เขามีความฝันที่อยากจะเป็นราชาแห่งโจรสลัด โดยที่ไม่ได้เป็นคนชั่วไปเบียดเบียนคนบริสุทธิ์ จึงได้ออกเดินทางออกสู่ท้องทะเลกว้างเพื่อตามหาสมัครพรรคพวกร่วมอุดมการณ์ อย่าง โรโรโนอา โซโล, นามิ, อุซป, วินสโมค ซันจิ, โทนี่ โทนี่ ช็อปเปอร์, นิโค โรบิน, แฟรงกี้, บรู๊ค, จินเบ  และต้องเจอกับอันตรายจากศัตรูฝั่งตรงข้ามรวมถึงบททดสอบมิตรภาพอีกมากมายซึ่งให้อารมณ์เหมือนกับการเล่นเกม RPG บน Nintendo Switch ราคาประมาณ 15000 บาท เลยทีเดียว

            One Piece ได้สร้างความตื่นเต้นและปรากฎการณ์ให้กับวงการคอมมิคหรือที่ภาษาญี่ปุ่นเรียกว่ามังงะเป็นอย่างมาก ด้วยการทำยอดขายเป็นที่ 1 ตลอดกาลในวงการหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่น และในปี 1998 ก็ได้ถูกนำไปผลิตเป็นอนิเมชั่นอย่างรวดเร็ว

          ไม่ใช่แค่เพียงได้รับความนิยมภายในประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น One Piece ยังได้รับความนิยมไปทั่วโลกอีกด้วย มีการแปลเป็นภาษาหลัก ๆ ทั่วโลก ในช่วงปี 2005 สามารถทำยอดขายได้ 100 ล้านเล่ม และมากขึ้นทุกปี ๆ จนในปี 2011 มียอดขายทั้งสิ้น 430 ล้านเล่ม ขึ้นแท่นเป็นมังงะที่ขายดีที่สุดตลอดกาล ยิ่งไปกว่านั้นก็ยังถูกนำไปผลิตเป็นของเล่นทั้งสำหรับเด็กและนักสะสม ของที่ระลึกต่าง ๆ วีดีโอเกมทั้งคอนโซลหรือพกพา เช่น Nintendo Switch ราคาถูกแพงมีให้เลือกซื้อหมด

          เหตุผลที่การ์ตูนเรื่องนี้ประสบความสำเร็จมากมายเนื่องจากการที่อาจารย์ Eiichiro Oda ได้ใส่สิ่งที่เข้าถึงได้ง่ายไปในโลกแฟนตาซี นั่นคือเรื่องของคนธรรมดาที่ตามหาความฝันและพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะไปถึงให้ได้ ตลอดจนได้ใส่สิ่งที่โอนโยนไปในแอคชั่นที่ดุเดือด อย่างมิตรภาพของเพื่อนที่ไม่ยอมทิ้งกันแม้ในช่วงเวลาที่ยากลำบากในสมรภูมิต่อสู้ ทั้งในเรื่องการวางเรื่องราวก็แปลกใหม่สนุกสนาน เพราะว่าพล็อตของโจรสลัดนั้นสามารถพาแฟน ๆ ไปเจอกับการผจญภัยได้อย่างเหนือความคาดหมาย เหมือนเกมของเครื่อง Nintendo Switch ราคา 15000 บาทที่ขายในปัจจุบัน การออกแบบคาแรคเตอร์โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์สวยงาม

            เห็นไหมครับว่าการ์ตูนนั้นไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ เลย เพราะได้แฝงข้อคิดและเรื่องราวน่าสนใจไว้อีกมากมาย ดังนั้นถ้าใครหลงใหลในเรื่องราวเหล่านี้อย่างเช่นเกมเมอร์ที่ชอบเล่น Nintendo Switch ราคาที่บางคนอาจว่าแพง แต่ถ้าเกิดเล่นอย่างใช้วิจารณญาณก็เกิดประโยชน์ได้เป็นอย่างดี

J-League ผู้นำลีกฟุตบอลเอเชีย

               ฟุตบอลเป็นกีฬายอดนิยมที่ครองใจคนทุกเพศทุกวัยทั่วโลก โดยในหลาย ๆ ประเทศก็จะมีลีกการแข่งขันที่คอยให้แฟนบอลได้ร่วมลุ้นร่วมเชียร์กันซึ่งมีมูลค่าไหลเวียนในลีกการแข่งขันเหล่านี้สูงมาก

          โดยลีกระดับโลกที่ไม่ใช่มีเพียงแค่โด่งดังในประเทศแต่ยังมีแฟน ๆ ชมการถ่ายทอดผ่านโทรทัศน์ไปทั่วโลกอย่าง เช่น Premier League ของประเทศอังกฤษ ที่มีสโมสรทีมดังอย่าง Manchester United, Manchester City, Liverpool, Chelsea, Arsenal หรือ La Liga ของประเทศสเปน มีสโมสรทีมดังเช่น Real Madrid, Barcelona, Valencia จนถึง Bundesliga ของประเทศเยอรมัน มีสโมสรทีมที่รู้จักกันอย่าง Bayern Munich, Borussia Dortmund, Bayer 04 Leverkusen เป็นต้น ซึ่งลีกใหญ่ ๆ เหล่านี้มักจะอยู่ในทวีปยุโรป

          โดยในทวีปเอเชียของเราฟุตบอลก็เป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับต้น ๆ อยู่แล้วซึ่งลีกฟุตบอลที่มีมาตรฐานและได้รับการยอมรับในระดับสากลก็คือ J-League ของประเทศญี่ปุ่นนั่นเอง และยิ่งนับวันพัฒนาการของลีกนี้ก็ยิ่งก้าวหน้าขึ้นทุกที ครั้งนี้เราจะมาดูกันว่าอะไรทำให้ลีกฟุตบอลจากเอเชียนี้น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง

          J-League ถูกจัดให้เป็นลีกสูงสุดในการแข่งขันฟุตบอลของประเทศญี่ปุ่นแบ่งเป็น 3 ดิวิชั่น โดยเริ่มต้นจัดการแข่งขันครั้งแรกในปี 1993 ในตอนนั้นมี 10 สโมสร เป็นทีมตั้งต้นในการแข่งขัน โดยกีฬายอดนิยมอันดับ 1 ของคนญี่ปุ่นช่วงนั้นก็ไม่พ้นเบสบอล แต่ว่าในช่วงนั้นกลับมีการ์ตูนที่ชื่อว่า Captain Tsubasa เป็นเรื่องราวของเด็กหนุ่มชาวญี่ปุ่นที่มีความฝันในเรื่องการเป็นนักกีฬาฟุตบอลระดับโลกซึ่งการ์ตูนเรื่องนี้เป็นที่โด่งดังมากในประเทศญี่ปุ่นและต่างประเทศทำให้มีการตื่นตัวกันของเด็กไปจนถึงเยาวชนในเรื่องของฟุตบอล รัฐบาลญี่ปุ่นจึงมองเห็นไปถึงโอกาสพลักดันกีฬาชนิดนี้ให้เป็นอาวุธไปสู้กับประเทศอื่น ๆ ได้

          แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือรากฐานของนักกีฬานั่นเองจึงพลักดัน J-League ให้เกิดขึ้นในมาตรฐานที่ดีสู้กับลีกอื่น ๆ ได้ ในช่วงเริ่มแรกนั้นถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ในนัดเปิดสนามเป็นการแข่งขันระหว่างทีม เวอร์ดี คาวาซากิ ซึ่งปัจจุบันได้เปลี่ยนชื่อไปเป็นโตเกียว เวอร์ดี กับ โยโกฮามะ เอฟ มารินอส ที่สนามกีฬาแห่งชาติโตเกียวมีแฟนบอลประมาณ 60000 คน ร่วมชมในนัดนี้ มีการถ่ายทอดสดผ่านโทรทัศน์ไปทั่วประเทศสร้างกระแสการรับรู้ถึงกีฬาฟุตบอลไปทั่วประเทศอย่างรวดเร็ว

          แต่ว่าการเริ่มต้นก็ไม่ได้สวยงามเสมอไป เพราะว่าในปี 1996-1999 แฟนบอลที่เข้ามาชมในสนามอย่างหนาแน่นได้ลดจำนวนลงอย่างน่าใจหาย ทว่าผู้บริหารของ J-League นั้นก็ไม่ได้นึ่งนอนใจให้กระแสของลีกฟุตบอลระดับประเทศนั้นหายไปแต่กลับหาวิธีแก้ปัญหาต่าง ๆ ออกมา คือ วางนโยบายล่วงหน้าถึงเกือบ 100 ปี โดยตั้งใจจะทำให้ทีมสโมสรอาชีพในปี 2092 มี 100 ทีมซึ่งพอดีกับการครบรอบ 100 ปีของการก่อตั้งลีก เป็นเหตุให้ท้องถิ่นต่าง ๆ หันมาสนับสนุนในด้านกีฬาประเภทนี้มากขึ้นเพื่อให้เกิดทีมภายในชุมชน

          และอีกวิธีหนึ่งก็คือมีการจัดระบบให้เป็นดิวิชั่น 3 ดิวิชั่นคือลีกสูงสุดนับเป็น ดิวิชั่น 1 รองลงมาคือ ดิวิชั่น 2 และสุดท้ายคือ ดิวิชั่น 3 นอกนั้นก็จะเป็นลีกสมัครเล่น ซึ่งเกิดการแข่งขันที่จริงจังดุดเดือดมากขึ้นเพื่อจะขึ้นมาดิวิชั่นที่สูงกว่าและดำเนินการถ่ายทอดสดผ่านโทรทัศน์มาอย่างต่อเนื่อง

          นับตั้งแต่นั้นวงการฟุตบอลของญี่ปุ่นก็พัฒนาเป็นอย่างมาก มีนักเตะที่โดดเด่นจาก J-League ได้ไปเล่นยังลีกชั้นนำของประเทศในยุโรบ และเพียงไม่นาน ญี่ปุ่นได้เป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกในปี 2002 ร่วมกับประเทศเกาหลี ซึ่งเป็นทัวร์นาเมนต์การแข่งขันฟุตบอลระดับทีมชาติที่ยิ่งใหญ่ที่สุด มีการถ่ายทอดสดผ่านโทรทัศน์ไปทั่วโลก ซึ่งถือว่าเป็นระยะเวลาแค่ 10 ปีนับตั้งแต่มีการก่อตั้งลีกฟุตบอลประจำประเทศ ญี่ปุ่นก็สามารถเดินทางมาถึงจุดนี้ได้

          ตอนนี้ J-League เป็นจุดหมายปลายทางของนักเตะระดับโลกที่จะมาค้าแข้งที่นี่ เพราะด้วยการจัดการที่ดี สนามได้มาตรฐานสากล นักเตะประจำชาติที่แข็งแกร่ง แฟนบอลที่ให้การต้อนรับอบอุ่น โดยมีนักเตะไทยหลายคนได้เข้าไปร่วมโม่แข้งในลีกนี้ด้วยหนึ่งในนั้นก็คือ ชนาธิป สรงกระสินธ์ นักเตะขวัญใจคนไทยที่เล่นให้กับทีมสโมสร Hokkaido Consadole Sapporo นั่นเอง

          และนี่ก็เป็นเรื่องราวความสำเร็จของ J-League ที่ลีกฟุตบอลหลายประเทศในเอเชียมองเป็นโรลโมเดลในการดำเนินงานตาม

เทคโนโลยีสุดล้ำๆ กับประเทศญี่ปุ่น

มองรอบๆ ตัวเราแล้ว จะสังเกตได้ว่าต้องมีผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากญี่ปุ่นอย่างน้อยๆ 1 อย่าง ไม่ว่าจะเป็นหุ่นยนต์ ของเล่น  เครื่องสำอางค์ หรือแม้กระทั่งเครื่องใช้ไฟฟ้าสารพัดชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในหลากรูปแบบ หรือแม้แต่ออกไปตามท้องถนนก็จะเห็นรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นวิ่งกันเกลื่อนเมือง ซึ่งไม่ใช่เป็นเฉพาะแค่ในประเทศไทยเท่านั้น หากแต่ว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นหลายประเทศทั่วโลก

ประเทศญี่ปุ่นมีลักษณะเป็นหมู่เกาะทอดตัวยาวเหนือจรดใต้ มีภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นภูเขาสลับกับที่ราบเล็กน้อย ทรัพยากรธรรมชาติต่างๆ ก็ไม่ได้มีมากมายในเชิงพาณิชย์ รวมไปถึงยังมีผลพวงจากความพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่สอง ได้สร้างความย่อยยับทั่วทุกระแหงในประเทศ แต่ ณ วันนี้ ญี่ปุ่นกลับกลายมาเป็นหนึ่งในชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลกได้ เพราะอะไร ?

อาจจะกล่าวได้ว่าญี่ปุ่นได้มุ่งเน้นในทางด้านอุตสาหกรรมหนักเป็นพิเศษ จึงมีการนำเข้าเทคโนโลยีการผลิตจากต่างประเทศจำนวนมาก และอย่างที่ทราบกันดีว่าญี่ปุ่นเป็นชาตินักประดิษฐ์ที่เก่งกาจไม่แพ้ใครในโลก ดูจากอาวุธยุทโธปกรณ์ที่มีความล้ำสมัยในสงครามโลก ดังนั้น การนำเอาเทคโนโลยีจากต่างประเทศมาปรับประยุกต์ด้วยการดัดแปลงแก้ไขและพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น จึงไม่ใช่เรื่องยากใดๆ เลยสำหรับญี่ปุ่น ซึ่งก็อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการสร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์ของญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้ ทำให้หลังจากนั้นประเทศญี่ปุ่นกลายมาเป็นประเทศที่มีการวิจัยและพัฒนาก้าวล้ำที่สุดอีกแห่งหนึ่งของโลก โดยมีรัฐบาลเป็นผู้สนับสนุนและมีเอกชนเป็นผู้ลงทุนเป็นหลัก สินค้าหลักๆ ได้แก่ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ หุ่นยนต์ เครื่องจักรกล วิศวกรรมการออกแบบ และเทคโนโลยีด้านการผลิตพลังงาน

ขอยกตัวอย่างเทคโนโลยีที่น่าสนใจและให้ความรู้และมุมมองที่ดีมาก “ร้านคาเฟ่หุ่นยนต์ที่ควบคุมโดยผู้ป่วยอัมพาต!” โดยร้านสุดเท่นี้มีชื่อว่า ดอว์น เวอร์ชั่น เบต้า ซึ่งมีหุ่นยนต์ทำหน้าที่เป็นพนักงานเสิร์ฟในร้าน หุ่นยนต์ตัวนี้มีชื่อรุ่นว่า OriHime-D (โอริฮิเมะ-ดี) ซึ่งเป็นหุ่นยนต์ที่ควบคุมโดยผู้ป่วยที่เป็นอัมพาต หุ่นยนต์ตัวนี้มีความสูง 120 เซนติเมตร และสามารถควบคุมระยะไกลโดยผู้ป่วยอัมพาตจากที่บ้านได้ ซึ่งการควบคุมสามารถทำได้โดยการใช้สายตาในการพิมพ์ข้อความต่าง ๆ เพื่อสื่อสารและบังคับหุ่นยนต์ได้ ทั้งนี้ในเบื้องต้นร้านนี้ยังมีคำว่า “เบต้า” อยู่ในชื่อ ซึ่งหมายความว่า ร้านนี้จะทดลองเปิดอยู่เพียงช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น ซึ่งปัจจุบันนี้ร้านนี้ได้ปิดให้บริการในช่วงทดลองแล้ว ส่วนในช่วงที่ร้านทดลองเปิดนั้น ทางร้านได้จ้างพนักงานที่เป็นอัมพาตจากความเสียหายของกระดูกสันหลัง เป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (ALS) ซึ่งพวกเขาสามารถทำงานนี้ที่บ้านได้ โดยได้รับค่าจ้างอยู่ที่ 1,000 เยน (ราว 300 บาท) ต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นค่าแรงพื้นฐานสำหรับพนักงานรายวันในประเทศญี่ปุ่น การเสิร์ฟกาแฟและการตอบโต้กับลูกค้านั้นเป็นหน้าที่หลักของพวกเขาก็จริง แต่สิ่งที่สำคัญไปกว่าเงินค่าจ้างจากการทำงานนั้นก็คือ การที่ผู้ป่วยเหล่านี้ได้รับประสบการณ์ใหม่กับอิสระในการเคลื่อนไหว

ทั้งนี้ นวัตกรรมที่ญี่ปุ่นคิดค้นเป็นที่แรกในโลก ก็คือการนำหุ่นยนต์มาใช้ในการประกอบรถยนต์ที่มีความแม่นยำสูง ฉะนั้นคงปฏิเสธไม่ได้ว่าเทคโนโลยี คือ ส่วนสำคัญที่ทำให้ญี่ปุ่นเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ไม่เพียงเท่านั้น นิสันใจคอของชาวญี่ปุ่นที่ได้ขึ้นชื่อว่ามีระเบียบวินัยสูง มีความละเอียดรอบคอบ มีความคิดและมีความซื่อสัตย์ต่อผู้บังคับบัญชาและหน้าที่รับผิดชอบ ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เทคโนโลยีและนวัตกรรมต่างๆ พัฒนาได้อย่างรวดเร็ว จึงไม่แปลกที่ญี่ปุ่นจะมีเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยและมีสินค้า ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าแปลกใหม่และหลากหลายมากที่สุดในโลก กรณีที่เห็นได้ชัดเจนคือการออกใหม่ของ IPhone XR ไม่ค่อยเป็นที่นิยมในญี่ปุ่น แต่กลับกลายเป็นว่า iphone 8 และ iphone 8 Plus มากกว่าที่ได้รับความนิยม ดังเนื้อข่าวที่กล่าวไว้ว่า “ราคาใหม่ของ iPhone XR อยู่ที่ 24,000 เยน จากปกติ 36,000 เยน ถือว่าลงมาเยอะพอสมควร โดย iphone 8 และ iphone 8 Plus  ยังคงได้รับความนิยมสูงที่สุดในญีปุ่น เพราะการใช้งานทั้งต่างๆ ยังคงสร้างความคุ้นเคยมากกว่ารุ่นใหม่ไม่ว่าจะเป็นการใช้ระบบ Face ID ในการปลดล็อคหรือการใช้ Gesture อาจจะยังไม่ตอบโจทย์ของผู้ใช้เท่าไหร่”

อย่างไรก็ตาม ในเมื่อปัจจุบันเทคโนโลยีเป็นสิ่งที่ขับเคลื่อนให้โลกก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ไม่ได้มีเพียงแค่ญี่ปุ่นอีกต่อไปแล้ว ประเทศในเอเชียรอบๆ ไม่ว่าจะประเทศจีน ประเทศเกาหลี ต่างก็มุ่งเน้นและแข่งขันกันในเรื่องของเทคโนโลยี ประเทศของเราก็มีดีไม่แพ้ใคร ก้ควรหันมาใส่ใจและได้แรงสนับสนุนในเรื่องนี้ให้มากขึ้นกว่าในอดีต

เปิดตำนานราเมง อาหารเส้นมัดใจคนทั่วโลก

อาหารถือว่าเป็นเอกลักษณ์ของชนชาติต่าง ๆ รวมถึงประเทศที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานอย่างญี่ปุ่นก็มีหลากหลายเมนูที่คนทั่วโลกชอบหนึ่งในนั้นก็คงจะเป็นราเมงอาหารประเภทเส้นที่มีหลากหลายรสชาติ เชื่อว่าผู้อ่านหลาย ๆ ท่านคงเคยทานและคุ้นชินกันไม่มากก็น้อย แต่วันนี้เราจะมาทำหน้าที่เหมือนกล้องติดรถยนต์ที่คอยสอดส่องเรื่องราวมาเป็นข้อมูลเพื่อให้คุณรู้จักราเมงกันให้มากกว่าเดิม

    แม้ว่าจะไม่สามารถระบุเวลาที่ชัดเจนว่าราเมงเกิดขึ้นในช่วงใดแต่คาดกันว่าต้นกำเนิดของราเมงมาจากประเทศจีน โดยราเมงอาจจะเพี้ยนมาจากภาษาจีนในคำว่าลาเมียนซึ่งหมายถึงก๋วยเตี๋ยวโบราณนั่นเอง ในประวัติศาสตร์มีบันทึกไว้ว่า โตกุงะวะ มิสึคุนิ ได้รับประทานราเมงในคริสต์ศตวรรษที่ 17 ในช่วงยุคเมจิ

    เมื่อถูกนำมาปรุงแต่งด้วยเครื่องปรุงรสของญี่ปุ่นอย่างโซยุและเต้าเจี้ยวญี่ปุ่นก็ทำให้มีเอกลักษณ์ทางรสชาติที่โดดเด่นขึ้นมา ซึ่งมักจะทานคู่กับ เนื้อหมู สาหร่าย คะมะโบะโกะ ต้นหอมหรือข้าวโพด ด้วยความนิยมทำให้ได้แพร่หลายไปทั่วประเทศญี่ปุ่น

    ในปี ค.ศ. 1900 บรรดาพ่อค้าได้มีการขายราเมนคู่กันกับเกี๊ยวซ่า และในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 หรือสมัยโชวะก็มีการโฆษณาเรียกลูกค้าด้วยการเป่าเครื่องดนตรีที่เรียกว่า ชารุเมระ ซึ่งเป็นการตอกย้ำถึงรูปแบบเฉพาะตัวและความน่าสนใจของอาหารประเภทนี้ไปอีก

    ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในยุคที่รถยนต์ยังไม่มีเครื่องเล่น CD หรือกล้องติดรถยนต์ ทหารญี่ปุ่นที่กลับมาจากการประจำการในจีนก็เริ่มใช้ความรู้และรสชาติที่เคยกินในประเทศจีนมาใช้ทำราเมงและเปิดเป็นร้านข้างทางจนเป็นภาพติดตามาจนถึงทุกวันนี้ โดยแต่ละจังหวัดก็จะมีสูตรเฉพาะแตกต่างกัน เช่นในเกาะคีวชู ต้นกำเนิดของทงโคสึราเมง (ราเมงซุปกระดูกหมู) หรือในเกาะฮกไกโด ต้นกำเนิดของมิโซะราเมง (ราเมงเต้าเจี้ยว)

    ในปัจจุบัน ราเมนได้มีการพัฒนาเมนูขึ้นมาหลากหลายรสชาติและหารับประทานได้ง่ายมากในประเทศญี่ปุ่น เพราะมีขายอยู่แทบทุกตรอกซอกซอย เรียกได้ว่าถ้าขับรถไปตามถนน กล้องติดรถยนต์จะต้องบันทึกภาพร้านราเมงได้หลายร้านแน่ ๆ

    ในปัจจุบันประเภทของราเมงที่ได้รับความนิยมจะมีดังนี้

    โชยุ (SHOYU) หรือซุปซีอิ๊วญี่ปุ่น

    ใช้เครื่องปรุงรสญี่ปุ่นแท้ ๆ อย่างโชยุเป็นส่วนประกอบกับนํ้าซุปทำให้มีรสชาติอมเปรี้ยวนิด ๆ และมีความหอม เหมาะกับทานคู่กับเครื่องเคียงอย่างเกี๊ยวซ่าเป็นอย่างมาก

    มิโซะ(MISO) หรือซุปเต้าเจี้ยวญี่ปุ่น

    เป็นราเมงตามแบบฉบับญี่ปุ่นแท้ ๆ เนื่องจากมีการใช้เต้าเจี้ยวญี่ปุ่นเป็นส่วนผสมหลักต้นกำเนิดมาจากที่เมืองซัปโปโรจังหวัดฮอกไกโดที่มีอากาศหนาวเย็นจึงมีส่วนผสมของนํ้ามันหมูซึ่งช่วยทำให้ร่างกายของผู้ที่กินอบอุ่น

    ทงคตสึ (TONKOTSU) หรือซุปกระดูกหมู

    เป็นที่ขึ้นชื่อของเมืองฮากาดะและคุรุเมะจังหวัดฟุคุโอกะ ความโดดเด่นมาจากนํ้าซุปเข้มข้นกลมกล่อมที่ได้จารเคี่ยวกระดูกหมูเป็นเวลานาน โดยปกติจะใช้เส้นแบบบางตรงเพื่อให้ดูดซับรสชาติของซุปกระดูกหมูได้อย่างเต็มที่ โดยในโตเกียวมีการพัฒนาเมนูนี้โดยใช้หมูสามชั้นย่างเป็นเครื่องเคียง

    เกียวไค (GYOKAI) หรือซุปอาหารทะเล

    นํ้าซุปที่ใช้ได้มาจากกระดูกหมู ไก่ และอาหารทะเลหลายชนิด น้ำซุปจึงมีความเข้มข้นมาก มีทั้งแบบใสและแบบข้น เป็นที่นิยมแพร่หลายในโตเกียวบางร้านจะมีการเติมเศษปลาป่นแห้งลงไปเพื่อเพิ่มรสชาติในนํ้าซุปด้วย

    โทริ (TORI) หรือซุปกระดูกไก่

    ข้อดีของประเทศญี่ปุ่นคือการที่ไม่ยอมหยุดพัฒนาสิ่งต่าง ๆ รวมถึงราเมงรสชาติใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นในยุค ค.ศ. 2000 โดยนํ้าซุปได้มาจาการต้มกระดูกไก่กับเนื้อไก่ รสชาติของนํ้าซุปหอมอร่อย ซดง่าย คล่องคอ ไม่เข้มข้นหรือติดรสขมนอกจากนี้ยังเพิ่มความอร่อยจากเนื้อไก่และลูกชิ้นเนื้อไก่ที่เป็นเครื่องเคียงอีกด้วย

    อุชิ (USHI) หรือซุปเนื้อ

    ราเมงซุปเนื้อถือเป็นที่นิยมมากในช่วงยุคหลัง เพราะมีนํ้าซุปที่เข้มข้นและหอมหวานแตกต่างจากประเภทอื่น ๆ เครื่องเคียงที่ใช้ก็คือเนื้อวัวย่างที่ยิ่งเพิ่มความกลมกล่อมเข้าไปอีก

    จะเห็นได้ว่าเจ้าแห่งเทคโนโลยีอย่างประเทศญี่ปุ่นที่ทำตั้งแต่กล้องติดรถยนต์ไปจนถึงเครื่องบินโดยสารก็ยังคงไม่ทิ้งเรื่องราวทางด้านวัฒนธรรมในรูปแบบอาหาร น่าปรบมือให้จริง ๆ

ฤดูกาลแห่งความรื่นเริง ญี่ปุ่นหน้าร้อนมีอะไรให้เที่ยวบ้าง

พูดถึงญี่ปุ่นแล้ว คงไม่มีใครไม่รู้จัก เนื่องจากเป็นประเทศที่น่าเที่ยว ด้วยบ้านเมืองที่สวยงาม เทศกาลที่น่าสนใจ และสิ่งสำคัญคือ ไม่ต้องขอวีซ่า รวมไปถึงเรื่องของอากาศหรือฤดูกาล โดยเฉพาะช่วงหน้าร้อน ที่ใครหลายๆ คนอาจะไม่ชอบนัก ทำให้ไม่ไปเที่ยวช่วงนี้กันสักเท่าไหร่ แต่ใครจะรู้ว่า ช่วงหน้าร้อนนี่แหละ มีกิจกรรม เทศกาลต่างๆ มากมายให้เลือกทำ

อย่างแรกที่น่าสนใจสุดๆ คือฤดูร้อนของญี่ปุ่นเรียกได้ว่าเป็นฤดูการแห่งความรื่นเริง เพราะดอกไม้พากันเบ่งบาน ออกดอกกันอย่างสะพรั่ง ทำให้เราสามารถชมดอกไม้ที่สวยงามในทุ่งอันกว้างใหญ่ได้ ไม่ว่าจะเป็นซากุระ ทุ่งดอกไม้ฟุราโนะ เมืองฟุราโนะ ทุ่งดอกไฮเดรนเยีย รวมไปถึง ยังมีกิจกรรมอย่างปีนภูเขาไฟฟูจิ ในเมืองฟูจิโนะมิยะ โดยภูเขาฟูจิ เป็นภูเขาที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น รอบๆ ภูเขาเต็มไปด้วยธรรชาติอันงดงาม ซึ่งโดยปกติแล้วภูเขาไฟฟูจิ จะเปิดขึ้นให้ชมได้ในช่วงฤดูร้อน หรือเดือนกรกฏาคมถึงสิงหาคม เพียง 2 เดือนนิดๆ เท่านั้น

ต่อมาเลยจะเป็นเทศกาลที่โด่งดังอย่างงานเทศกาลงานบงโอโดริ ซึ่งอีกหนึ่งเทศกาลที่เป็นที่นิยมในญี่ปุ่น ในช่วงหน้าร้อน สำหรับงานบงโอโดริ หรือเรียกกันสั้นๆ ว่างานบง จะเป็นงานสำหรับรำวงพื้นบ้านของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งผู้คนก็จะใส่ชุดยูคาตะออกมาร้องรำทำเพลงกันอย่างสนุกสนานในช่วงคํ่า เป็นงานรื่นเริงที่สร้างรอยยิ้มและความสนุกสนานให้กับผู้คนได้มากเลยทีเดียว รวมไปถึงยังมีการช้อนปลาทอง ตกโยโย่ กิจกรรมสุดฮิตตามงานเทศกาลหน้าร้อนทีมีให้เหล่าผู้เข้าร่วมงานได้สนุกกัน ดีดังเลยก็จะเป็นพวกการช้อนปลาทอง (Kingyo Sukui), ตกโยโย่ (Yo-yo Tsuri), ดึงเชือกเสี่ยงโชค (Senbonbiki) และอื่นๆ อีกมากมายมาให้ได้วัดฝีมือกัน พอถึงในช่วงเวลาค่ำๆ ต้องไม่ลืมที่จะมาชื่นชมความสวยงามของพลุต่างๆ ถ้ากลัวอากาศจะร้อนมากๆ แนะนำให้พกพัดลมไอเย็นเพื่อคลายร้อน เนื่องจากการชมพลุเป็นกิจกรรมที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง เพราะเป็นการจุดพลุเฉลิมฉลองสีสันสวยงามและจะมีความงามแปลกตาต่างจากพลุไทยที่จุดๆ กันอยู่

อีกหนึ่งงานเทศกาลที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือ เทศกาลทานาบาตะ (Tanabata) เทศกาลแห่งความโรแมนติกของคนญี่ปุ่น หรือที่เรียกอีกอย่างว่าเทศกาลดวงดาว ที่เชื่อกันว่าเจ้าหญิงทอผ้าและชายเลี้ยงวัวจะได้พบกันเพียงปีละครั้ง และจะมีการเขียนคำอธิษฐานบนกระดาษแผ่นเล็กๆ หลากสีสันที่เรียกว่า ทังซะกุ (Tanzaku) แล้วนำไปแขวนประดับกับกิ่งไผ่เพื่ออธิษฐานขอพรจากดวงดาวโอริฮิเมะ (Orihime) ที่เชื่อว่าจะทำให้สมหวังตามที่ปรารถนา ซึ่งช่วงเวลากลางคืนจะมีการประดับไฟอย่างสวยงาม

ในส่วนของกิจกรรมที่พลาดกันไม่ได้เลยในช่วงหน้าร้อน มา!! เตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อม หมวก พัดลมไอเย็น เสื้อผ้าสบายๆ เพราะเรากำลังจะไปตะลุยกินดับร้อน พร้อมช้อปปิ้งให้กระจาย แน่นอนว่าหมวกหรือพัดลมไอเย็นคงไม่ได้ช่วยให้เราคลายร้อนได้เท่าได้น้ำแข็งใสหรือไอศครีมอร่อยๆ สักถ้วยหนึ่ง โดยเฉพาะในหน้าร้อนน้ำแข็งใสและไอศครีมจะได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ซึ่งขนมหวานอย่างน้ำแข็งใสของญี่ปุ่นนั้นจะมีหน้าตาที่ดูธรรมดาๆ ทั่วไปมาก แต่ไม่รู้ทำไมเกร็ดน้ำแข็งของเค้าถึงได้นุ่มขนาดนี้  กินแล้วฟินมาก หอมหวานอร่อยอยู่ในคำเดียว และพลาดไม่ได้เลยกับการช้อปปิ้ง โดยเฉพาะช่วงฤดูร้อน เรียกได้ว่าเป็นช่วงลดกระหน่ำซัมเมอร์เซลของญี่ปุ่นเลยที่เดียว ซึ่งจะอยู่ในช่วงปลายเดือนมิถุนายน ถึงต้นสิงหาคม ทั้งห้างและร้านค้าต่างๆ จะพร้อมใจกันขึ้นป้ายเซล 50% – 90% กันเลยที่เดียว มีสินค้ามาลดกันหลากหลายแล้วแต่สไตล์ เอาต์เล็ท แบรนด์เนมก็มีลดราคากันอย่างจุใจ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีระยะเวลาประมาณ 7 – 10 วันเท่านั้น แนะนำให้ไปวันธรรมดา เพราะเป็นวันทำงานของคนญี่ปุ่น ถ้ารอวันเสาร์ – อาทิตย์คนจะเยอะเป็นเท่าตัวเลย แหล่งช้อปปิ้งที่แนะนำเลย คือรอบๆ ย่านชิจูกุ เนื่องจากเป็นศูนย์กลางของกรุงโตเกียว ครบทั้งแบรนด์เนม ห้างสรรพสินค้า ไนท์คลับ บาร์ โรงแรม โรงหนัง จับหมวกให้มั่น ถือพัดลมไอเย็นให้พร้อม เตรียมเงินในกระเป๋าให้ดี แล้วรีบไปช้อปปิ้งให้ไว

Nintendo บริษัทผู้เปลี่ยนวงการวีดีโอเกมญี่ปุ่น

          ถ้าพูดถึงวีดีโอเกม หลายคนคงยกให้ประเทศญี่ปุ่นเป็นผู้นำเบอร์ต้น ๆ ของโลกแน่นอน เพราะนอกจากจะเป็นเจ้าแห่งเทคโนโลยีที่ประดิษฐตั้งแต่ เครื่องคิดเลข ไปจนถึงรถยนต์แล้ว ก็ยังเป็นเจ้าแห่งความคิดสร้างสรรค์ที่เป็นแกนหลักของความบันเทิงอีกด้วย

          เมื่อ 2 สิ่งนี้มารวมกันจึงเกิดเป็นนวัตกรรมวีดีโอเกมที่เด็กไปจนถึงผู้ใหญ่ทั่วโลกติดใจ และถ้าหากให้เลือกผู้ผลิตทั้งเครื่องเล่นและซอฟต์แวร์เกมชื่อดังของญี่ปุ่นแล้วล่ะก็ ต้องมีโลโก้ของบริษัท Nintendo ลอยเด่นออกมาแน่ ๆ เพราะเป็นบริษัทที่ยืนหยัดมานานและยังคงประสบความสำเร็จมาทุกยุคทุกสมัย แถมยังสร้างตัวละครในโลกวีดีโอเกมที่น่าจดจำอย่าง Mario หรือ Pokemon ซึ่งในวันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับบริษัทนี้ให้ดียิ่งขึ้น

          เราจะพาคุณย้อนกลับไปในปี 1889 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ Nintendo กำเนิดขึ้นซึ่งในตอนนั้นแค่เทคโนโลยีอย่าง เครื่องคิดเลข ก็ยังไม่แพร่หลายสำหรับคนใช้ทั่วไปเลย Nintendo แต่เดิมใช้ชื่อว่า “Nintendo Koppei” ก่อตั้งโดย Fusajiro Yamauchi เพื่อจำหน่ายการ์ด Hanafuda ซึ่งเป็นการ์ดสำหรับใช้เล่นเกมต่าง ๆ สำหรับผู้คนในเวลานั้น

 Nintendo บริษัทผู้เปลี่ยนวงการวีดีโอเกมญี่ปุ่น

          ในปี 1953 จากการที่ใช้กระดาษเป็นวัสดุในการทำการ์ดก็ได้แปลเปลี่ยนมาใช้พลาสติกเจ้าแร กในประเทศจนได้กลายมาเป็นผู้นำการผลิตการ์ดเกมที่มีชื่อเสียงและใหญ่ที่สุดใน ญี่ปุ่นซึ่งเป็นยุคที่หลานของ Fusajiro ที่ชื่อว่า Hiroshi Yamauchi ได้ขึ้นเป็นผู้บริหารบริษัทนี้ต่อนั่นเอง ความสำเร็จนี้เป็นตัวผลักดันให้บริษัทก้าวเข้าสู่ความเป็นบริษัทมหาชนในปี 1962

            &nbsp ;  ด้วยเงินทุนที่มากมาย Nintendoได้มาทำธุรกิจมากมายหนึ่งในนั้นก็คือบริษัทผลิตของเล่นนั่นเอง ซึ่งผลิตภันท์ที่ได้รับความนิยมมาก ๆ ก็คือ Ultra Hand ที่มีลักษณะเป็นแขนที่ยืดออกไปจับสิ่งของต่าง ๆ ได้

            &nbsp ;  ในปี 1975 บริษัทก็เริ่มสนใจในวงการเกม และได้เริ่มพัฒนาเกมให้กับเครื่องต่าง ๆ เกมแรกมีชื่อว่า EVR Race และต่อมาก็มีเกมที่ดังเป็นพลุแตกอย่าง Donkey Kong

            &nbsp ;  ในปี 1980 พนักงานบริษัทชื่อ Gunpei Yokoi ได้แรงบันดาลใจในการทำเครื่องเล่นพกพามาจากการที่เขาได้เห็นมนุษย์เงินเดือน คนหนึ่งนั่งกดเครื่องคิดเลขด้วยสีหน้าเซ็ง ๆ เขาจึงมีไอเดียในการผลิตเครื่องเล่นวีดีโอเกมพกพาที่ชื่อ Game & Watch ที่มีรูปแบบการเล่นง่าย ๆ แต่เพลิดเพลิน โดยทำยอดขายทั่วโลกจนถึงปัจจุบันไปถึง 80 ล้านเครื่องเลยทีเดียว

          และหน้าประวัติศาสตร์ของวงการเกมก็เปลี่ยนไปตลอดกาลในปี 1983 ที่ Nintendo ออกเครื่องเล่นเกม Console เป็นของตัวเองในชื่อ Famicom ซึ่งย่อมาจาก Family Computer ทำยอดจำหน่ายได้ 500,000 เครื่องภายในเวลาเพียง 2 เดือนเฉพาะในญี่ปุ่น และในปี 1985 ก็ได้ทำการจัดจำหน่ายไปทั่วโลก โดยปรับเปลี่ยนดีไซน์และชื่อเป็น Nintendo Entertainment System หรือ NES ซึ่งในปีนั้นก็ได้มีเกม Super Mario Bros ออกมา ซึ่งตัวคาแรคเตอร์ในเกมก็ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของวงการเกมจนถึงปัจจุบัน

          กลับมาที่วงการเกมแบบพกพาทางบริษัทก็ไม่ได้หยุดความสำเร็จอยู่แค่ Game & Watch เท่านั้น ในปี 1989 คุณ Gunpei Yokoi ได้พัฒนา Game Boy เกมพกพาที่ใหญ่ประมาณเครื่องคิดเลขแต่สามารถเปลี่ยนเกมได้ โดยเป็นภาพขาวดำมี 4 ระดับความเข้ม แน่นอนว่าได้รับผลตอบรับดีทั่วโลกและเป็นต้นกำเนิดของไตเติ้ลเกมระดับตำนาน อีกหนึ่งที่ชื่อว่า Pokemon ในปี1996

ต่อมาบริษัท Nintendo ก็เป็นผู้นำในวงการวีดีโอเกม ซึ่งได้พัฒนา Console ออกมามากมายเช่น Super Nintendo Entertainment System, Nintendo 64, GameCube, Wii, Wii U และเกมพกพาเช่น Game Boy Color, Game Boy Advance, Nintendo DS หรือ Nintendo 3DS เป็นต้น ซึ่งแต่ละเครื่องขนาดก็เล็กไม่เกินเครื่องคิดเลขเลย

Nintendo บริษัทผู้เปลี่ยนวงการวีดีโอเกมญี่ปุ่น 2 

จนในยุคปัจจุบันก็ได้มีเครื่องเล่นวีดีโอเกมลูกผสม Console และ พกพา ออกมาในชื่อ Nintendo Switch โดยออกวางจำหน่ายในปี 2017 ซึ่งถือว่าเป็นนวัตกรรมใหม่ของวงการเกมเลยทีเดียว โดยขายไปแล้วทั่วโลกจนถึงปี 2019 ไปกว่า 32 ล้านเครื่อง ด้วยราคาเมื่อกดเครื่องคิดเลขคำนวนแล้วแค่หมื่นต้น ๆ ก็ถือว่าคุ้มค่ามากเลยทีเดียว และนี่คงจะเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จของบริษัทผู้คร่ำหวอดในวงการวีดีโอเกมแห่งนี้ แน่ ๆ ซึ่งในอนาคตจะมีอะไรให้ตื่นเต้นกันอีกต้องจับตาดูต่อไป

          ทั้งหมดคือเรื่องราวที่น่าสนใจของเจ้าพ่อวงการเกมแห่งเกาะญี่ปุ่นอย่าง Nintendo หวังว่าจะชื่นชอบกันนะครับ

            &nbsp ;