ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีความหลากหลายในด้านต่างๆ อีกทั้งยังเป็นประเทศในฝันของใครหลายๆคน ด้วยความที่ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่สะอาด ผู้คนมีระเบียบ มีสภาพภูมิอากาศที่ดี เเละมีวัฒนธรรม หรือ ธรรมเนียมหลายๆอย่างที่ค่อนข้างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่ว่าจะเป็น อาหารการกิน หรือการเเต่งกาย สิ่งเหล่านี้ก็ถือเป็น Soft Power ที่ช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยือนดินเเดนเเห่งนี้ สำหรับใครที่ชื่นชอบ เเละอยากรู้เกี่ยวกับเรื่องเล็กๆน้อยๆ ของที่นี่ หรือเป็นนักท่องเที่ยวที่กำลังจะไปญี่ปุ่นในช่วงนี้ วันนี้เราก็มี 10 สิ่งน่ารู้ก่อนไปเยือนเมืองปลาดิบเเห่งนี้ เผื่อว่าจะสามารถช่วยให้คุณรู้จักประเทศญี่ปุ่นมากขึ้น ไปดูกันเลยว่ามีอะไรบ้าง!
การใช้บันไดเลื่อนที่ถูกต้อง
From: from japan
หากพูดถึงเรื่องบันไดเลื่อนเเล้ว ในประเทศญี่ปุ่นนั้นให้ความสำคัญกับสิ่งนี้มากๆ ด้วยความที่เป็นสิ่งอำนวยความสะดวก เพราะฉะนั้นความปลอดภัยก็ถือเป็นสิ่งสำคัญ โดยการขึ้นบันไดเลื่อนของญี่ปุ่นต้องมีการยืนชิดที่ฝั่งใดฝั่งหนึ่ง เพื่อเว้นทางเดินที่เหลือไว้ให้สำหรับคนที่รีบจริงๆ ไปได้อย่างรวดเร็วเเละสะดวก ซึ่งช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุที่ๆไม่คาดคิดในการใช้บันไดเลื่อนด้วย บางภูมิภาคของญี่ปุ่นก็จะมีลักษณะการยืนชิดขอบบันไดที่ต่างกัน เช่น
ภูมิภาคคันโต ( โตเกียว ชิบะ โทชิงิ เเละอื่นๆ) จะมีการยืนชิดซ้ายขอบบันได
ภูมิภาคคันไซ ( โอซาก้า นารา เฮียวโกะ เเละอื่นๆ) จะเน้นการชิดขวาเป็นหลัก
ชุดกิโมโน
visit gunma.com
ชุดกิโมโนเป็นชุดประจำชาติ ของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งหลายคนน่าจะคุ้นเคยกันดีสำหรับชื่อนี้ โดยการใส่ที่ถูกต้องให้ใส่เเบบซ้ายทับขวา (ซ้ายบน-ขวาล่าง) ส่วนความสำคัญของชุดกิโมโน คือจะใส่ในพิธีต่างๆที่สำคัญๆ เเละเป็นทางการ เช่นพิธีจบการศึกษา รับปริญญา เเต่ก็สามารถใช้ใส่ในการถ่ายรูป หรือการทำกิจกรรมที่ไม่เป็นทางการก็ได้ ซึ่งหลายคนจะสับสนกับ ชุดยูกาตะ กับ ชุดกิโมโน เพราะด้วยลักษณะที่คล้ายคลึงกัน เเต่ก็สามารถเเยกออกด้วยได้การที่ดู โอบิ หรือผ้าพันรอบเอวของชุดนั่นเอง เพราะยูกาตะจะไม่มี โอบิ
ซูโม่
From: Eyaida.com
ซูโม่ ถือเป็นกีฬาที่สำคัญมากของชาวญี่ปุ่น เเละยังเป็นกีฬาประจำชาติอีกด้วย ซึ่งเป็นการเเข่งขันที่เเข่งกันเฉพาะผู้ชายเท่านั้น การที่จะลงเเข่งซูโม่ได้ จะต้องมีน้ำหนักอย่างน้อยประมาณ 70 กิโลกรัมขึ้นไป เเละส่วนสูงอย่างต่ำ 167 เซนติเมตร ซึ่งจะเเข่งขันกันบนเวทีขนาดใหญ่ภายในเส้นวงกลมที่เรียกว่า โดะเฮียว เกณฑ์การชนะก็คือหากใครที่ออกจากเส้นวงกลมก่อนเป็นผู้เเพ้ ในระหว่างการเเข่งขันห้ามใช้การต่อย หรือ เตะ เด็ดขาดเนื่องจากผิดกฎการเเข่งขัน
กีฬาเบสบอล
From: mainstand
เบสบอลเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในหมู่วัยรุ่นญี่ปุ่น ถึงจะไม่ได้มีถิ่นกำเนิดมาจากญี่ปุ่นก็ตาม เเต่ก็อยู่กับชาวญี่ปุ่นมาอย่างยาวนานตั้งเเต่ ปี 1872 กีฬานี้ในทุกๆปีจะมีการเเข่งขันในระดับโรงเรียน เเละ ระดับประเทศเกิดขึ้น คนญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับกีฬาชนิดมากเช่นเดียวกับ ซูโม่เลย ซึ่งเมื่อผ่านการเเข่งขันกันอย่างดุเดือดในหมู่นักเรียนมัธยมปลาย เส้นทางสุดท้าย หรือรอบชิงชนะเลิศระดับประเทศ ก็จะถูกจัดขึ้นที่ สนามฮันชินโคชิสเตเดียม ในจังหวัดเฮียวโกะ ถือเป็นความฝันของชาวญี่ปุ่นหลายๆคน ที่จะได้มาเเข่งในสถานที่นี้
ทำไมถึงไม่เจอเลข 4 บนลิฟต์ญี่ปุ่น หรือในลานจอดรถ?
From: Daratop.com
เคยสงสัยกันไหมว่าทำไมเวลาที่เราขึ้นลิฟต์ หรือ เวลาจะจอดรถตามที่ต่างๆที่ประเทศญี่ปุ่น เราจะไม่เจอเลข 4 เลย เเต่จะเห็นเป็นตัวเลข 3A มาเเทน ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ทำให้หลายๆคนสงสัยว่าทำไม? เหตุผลก็เพราะว่าในทางภาษาญี่ปุ่นเเล้ว การออกเสียงของเลข 4 (shi) นั้นมีความหมายที่ไม่ดีนัก นั่นก็คือการที่ไปคล้องกับคำว่าตาย (shini) นั่นเอง จึงกลายเป็นเลขที่ไม่ดี หรือ อัปมงคล เเละนอกจากเลข 4 เเล้ว ก็ยังมีเลข 9 อีกเช่น เมื่อเราไปโรงเเรมหรือสถานที่พักพิง ต่างๆ ก็จะเเทบไม่พบเลข 9 เลย เป็นผลมาจากการออกเสียงคล้องกับคำว่า ความเจ็บปวดในภาษาญี่ปุ่น นั่นเอง
การซดอาหารประเภทเส้นเสียงดัง
From: image holiday
เวลาเราเข้าไปรับประทานอาหารให้ร้านอาหารต่างๆ ที่ญี่ปุ่นก็มักจะเจอชาวญี่ปุ่นที่กำลังดื่มซดน้ำซุปเสียงดัง อย่างน่าเอร็ดอร่อย ซึ่งบางคนอาจจะไม่รู้ก็มองว่าเป็นการเสียมารยาท เเละ อาจจะรบกวนผู้อื่นหรือป่าว เเต่ในความเป็นจริงเเล้วเหตุผลที่ทำให้เป็นอย่างนั้นคือ เป็นการบ่งบอกว่าอาหารนั้นๆ มีความอร่อย ยิ่งเสียงซดดังเท่าไหร่ ก็ยิ่งเเสดงให้เห็นว่ารสชาติของเมนูนั้นๆเยี่ยมยอดมากๆ โดยเรามักจะเจอในอาหารประเภทเส้นเช่น ราเมง โซบะ หรือ อูด้ง เป็นต้น เเละนอกจากนี้การซดเสียงดังก็ถือเป็นมารยาทอย่างหนึ่งที่สำคัญของชาวญี่ปุ่นด้วย
ออนเซ็นกับรอยสัก
From: kiji.life
เคยไหมเวลาไปออนเซ็น เรามักจะเห็นป้ายติดเอาไว้เสมอว่ามีรอยสักห้ามลงน้ำ ซึ่งสำหรับคนที่มีรอยสักก็อาจจะเสียใจอยู่ไม่น้อย เพราะการเเช่ออนเซ็นก็ถือเป็นความฝันของใครหลายๆคน เเต่เหตุผลที่ห้ามคนมีรอยสักลงเเช่นั้นคือ คนญี่ปุ่นนั้นค่อนข้างที่จะยึดถือกับธรรมเนียมปฏิบัติมากๆ และจะมองว่าคนที่มีรอยสักนั้น เป็นสัญลักษณ์ของบุคคลที่ต่อต้านสังคม ด้วยความที่อาจไปคล้ายคลึงกับลักษณะของ นักเลง หรือ ยากูซ่า ในญี่ปุ่นที่มีรอยสักทั่วร่าง เเต่ในบางที่ก็มีการอนุโลมให้สามารถลงเเช่น้ำได้ เเต่ต้องมีการปกปิดรอยสักก่อน
Golden week
From: ohhotrip.com
สำหรับชาวญี่ปุ่นเเล้ว การที่ได้หยุดพักจากความเหนื่อยล้ามาตั้งเเต่ช่วงต้นปีถือเป็นอะไรที่ดีมากๆ เนื่องจากในปีนึงของญี่ปุ่น จะมีวัดหยุดที่หยุดติดต่อกินเป็นเวลาหลายวัน หรือที่เราเรียกกันว่า Golden week นั่นเอง หรือจะพูดง่ายๆเลยก็ สัปดาห์ทอง คือวันหยุดที่เริ่มจาปวันที่ 29 เมษายน (วันโชวะ) ยาวไปถึง วันที่ 5 พฤษภาคม (วันเด็กผู้ชาย) เพราะเนื่องจากภายในวันที่ 29 เมษายน ถึง 5 พฤษาคมนั้น มีวันสำคัญทางราชการที่สำคัญเช่น
- วันที่ 3 พฤษภาคม ตรงกับวันแห่งรัฐธรรมนูญ
- วันที่ 4 พฤษภาคม ตรงกับวันสีเขียว
เป็นต้น
ในวันนี้หลายๆครอบครัวก็จะมีการไปเที่ยวด้วยกัน เเละ ใช้เวลากับคนในครอบครัว คนที่ทำงานต่างจังหวัดก็จะกลับมาหาพ่อเเม่ พี่น้อง ของตน
การให้กระดุมเม็ดที่ 2 กับคนที่ชอบ
From: Daco-thai.com
ในวัญพิธีจบการศึกษาของญี่ปุ่น หรือวันสุดท้ายของก่อนการปิดภาคเรียน เราจะมักจะเห็นผ่านใน ซีรีส์ หรือ การ์ตูนอนิเมะ ญี่ปุ่นบ่อยๆว่า จะมีผู้หญิงมอบกระดุมเม็ดที่ 2 ให้กับผู้ชายที่ตนเองชอบ ซึ่งนี่คือการเเสดงออกต่อความรักอย่างนึง หมายความประมาณว่า ฉันชอบคุณนะ หรือ ฉันรักคุณ ในทำนองนั้น ซึ่งสิ่งนี้มีมาตั้งเเต่ปี 1960 ในญี่ปุ่น โดยหากได้กระดุมเม็ดที่ 2 ตอบรับกลับมาก็แสดงว่าอีกฝ่ายก็มีความรู้สึกดีๆให้เราเช่นกัน เเต่ เเล้วทำไมต้องเป็นกระดุมเม็ดที่ 2 ล่ะ หลายคนสงสัย? เพราะตามทฤษฎีที่คนส่วนใหญ่พูดถึง กระดุมเม็ดที่ 2 หมายถึง คนที่สำคัญที่สุดของเรา นั่นเอง
มารยาทในการใช้ตะเกียบบนโต๊ะอาหาร
From: ikidane nippon
คนญี่ปุ่นนั้นจะให้ความสำคัญการความสะอาด เเละ สุขอนามัยเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงมีทารยาทหลักในการใช้ตะเกียบ เพื่อปลูกฝังให้เกิดความเคยชิน โดยก่อนการใช้ตะเกียบก็ต้องมีการจุ่มลงในซุปร้อนก่อนด้วย ส่วนข้อบังคับหลักๆเลย เช่น การไม้ใช้ตะเกียบของตนเองคีบอาหารให้กับคนอื่น การที่ไม่ควรอมตะเกียบไว้ปาก หรือ เลียตะเกียบหลังคีบอาหาร การถือด้วยตะเกียบข้างหนึ่ง เเละถือถ้วยอาหารไปอีกข้างหนึ่ง ซึ่งข้อบังคับเหล่านี้ ทำให้เป็นประโยชน์ต่อคนญี่ปุ่นในหลายๆด้านด้วย เช่น บุคลิกภาพ หรือ การเข้าสังคม ในอนาคตเป็นต้น