มองรอบๆ ตัวเราแล้ว จะสังเกตได้ว่าต้องมีผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากญี่ปุ่นอย่างน้อยๆ 1 อย่าง ไม่ว่าจะเป็นหุ่นยนต์ ของเล่น เครื่องสำอางค์ หรือแม้กระทั่งเครื่องใช้ไฟฟ้าสารพัดชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในหลากรูปแบบ หรือแม้แต่ออกไปตามท้องถนนก็จะเห็นรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นวิ่งกันเกลื่อนเมือง ซึ่งไม่ใช่เป็นเฉพาะแค่ในประเทศไทยเท่านั้น หากแต่ว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นหลายประเทศทั่วโลก
ประเทศญี่ปุ่นมีลักษณะเป็นหมู่เกาะทอดตัวยาวเหนือจรดใต้ มีภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นภูเขาสลับกับที่ราบเล็กน้อย ทรัพยากรธรรมชาติต่างๆ ก็ไม่ได้มีมากมายในเชิงพาณิชย์ รวมไปถึงยังมีผลพวงจากความพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่สอง ได้สร้างความย่อยยับทั่วทุกระแหงในประเทศ แต่ ณ วันนี้ ญี่ปุ่นกลับกลายมาเป็นหนึ่งในชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลกได้ เพราะอะไร ?
อาจจะกล่าวได้ว่าญี่ปุ่นได้มุ่งเน้นในทางด้านอุตสาหกรรมหนักเป็นพิเศษ จึงมีการนำเข้าเทคโนโลยีการผลิตจากต่างประเทศจำนวนมาก และอย่างที่ทราบกันดีว่าญี่ปุ่นเป็นชาตินักประดิษฐ์ที่เก่งกาจไม่แพ้ใครในโลก ดูจากอาวุธยุทโธปกรณ์ที่มีความล้ำสมัยในสงครามโลก ดังนั้น การนำเอาเทคโนโลยีจากต่างประเทศมาปรับประยุกต์ด้วยการดัดแปลงแก้ไขและพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น จึงไม่ใช่เรื่องยากใดๆ เลยสำหรับญี่ปุ่น ซึ่งก็อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการสร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์ของญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้ ทำให้หลังจากนั้นประเทศญี่ปุ่นกลายมาเป็นประเทศที่มีการวิจัยและพัฒนาก้าวล้ำที่สุดอีกแห่งหนึ่งของโลก โดยมีรัฐบาลเป็นผู้สนับสนุนและมีเอกชนเป็นผู้ลงทุนเป็นหลัก สินค้าหลักๆ ได้แก่ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ หุ่นยนต์ เครื่องจักรกล วิศวกรรมการออกแบบ และเทคโนโลยีด้านการผลิตพลังงาน
ขอยกตัวอย่างเทคโนโลยีที่น่าสนใจและให้ความรู้และมุมมองที่ดีมาก “ร้านคาเฟ่หุ่นยนต์ที่ควบคุมโดยผู้ป่วยอัมพาต!” โดยร้านสุดเท่นี้มีชื่อว่า ดอว์น เวอร์ชั่น เบต้า ซึ่งมีหุ่นยนต์ทำหน้าที่เป็นพนักงานเสิร์ฟในร้าน หุ่นยนต์ตัวนี้มีชื่อรุ่นว่า OriHime-D (โอริฮิเมะ-ดี) ซึ่งเป็นหุ่นยนต์ที่ควบคุมโดยผู้ป่วยที่เป็นอัมพาต หุ่นยนต์ตัวนี้มีความสูง 120 เซนติเมตร และสามารถควบคุมระยะไกลโดยผู้ป่วยอัมพาตจากที่บ้านได้ ซึ่งการควบคุมสามารถทำได้โดยการใช้สายตาในการพิมพ์ข้อความต่าง ๆ เพื่อสื่อสารและบังคับหุ่นยนต์ได้ ทั้งนี้ในเบื้องต้นร้านนี้ยังมีคำว่า “เบต้า” อยู่ในชื่อ ซึ่งหมายความว่า ร้านนี้จะทดลองเปิดอยู่เพียงช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น ซึ่งปัจจุบันนี้ร้านนี้ได้ปิดให้บริการในช่วงทดลองแล้ว ส่วนในช่วงที่ร้านทดลองเปิดนั้น ทางร้านได้จ้างพนักงานที่เป็นอัมพาตจากความเสียหายของกระดูกสันหลัง เป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (ALS) ซึ่งพวกเขาสามารถทำงานนี้ที่บ้านได้ โดยได้รับค่าจ้างอยู่ที่ 1,000 เยน (ราว 300 บาท) ต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นค่าแรงพื้นฐานสำหรับพนักงานรายวันในประเทศญี่ปุ่น การเสิร์ฟกาแฟและการตอบโต้กับลูกค้านั้นเป็นหน้าที่หลักของพวกเขาก็จริง แต่สิ่งที่สำคัญไปกว่าเงินค่าจ้างจากการทำงานนั้นก็คือ การที่ผู้ป่วยเหล่านี้ได้รับประสบการณ์ใหม่กับอิสระในการเคลื่อนไหว
ทั้งนี้ นวัตกรรมที่ญี่ปุ่นคิดค้นเป็นที่แรกในโลก ก็คือการนำหุ่นยนต์มาใช้ในการประกอบรถยนต์ที่มีความแม่นยำสูง ฉะนั้นคงปฏิเสธไม่ได้ว่าเทคโนโลยี คือ ส่วนสำคัญที่ทำให้ญี่ปุ่นเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ไม่เพียงเท่านั้น นิสันใจคอของชาวญี่ปุ่นที่ได้ขึ้นชื่อว่ามีระเบียบวินัยสูง มีความละเอียดรอบคอบ มีความคิดและมีความซื่อสัตย์ต่อผู้บังคับบัญชาและหน้าที่รับผิดชอบ ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เทคโนโลยีและนวัตกรรมต่างๆ พัฒนาได้อย่างรวดเร็ว จึงไม่แปลกที่ญี่ปุ่นจะมีเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยและมีสินค้า ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าแปลกใหม่และหลากหลายมากที่สุดในโลก กรณีที่เห็นได้ชัดเจนคือการออกใหม่ของ IPhone XR ไม่ค่อยเป็นที่นิยมในญี่ปุ่น แต่กลับกลายเป็นว่า iphone 8 และ iphone 8 Plus มากกว่าที่ได้รับความนิยม ดังเนื้อข่าวที่กล่าวไว้ว่า “ราคาใหม่ของ iPhone XR อยู่ที่ 24,000 เยน จากปกติ 36,000 เยน ถือว่าลงมาเยอะพอสมควร โดย iphone 8 และ iphone 8 Plus ยังคงได้รับความนิยมสูงที่สุดในญีปุ่น เพราะการใช้งานทั้งต่างๆ ยังคงสร้างความคุ้นเคยมากกว่ารุ่นใหม่ไม่ว่าจะเป็นการใช้ระบบ Face ID ในการปลดล็อคหรือการใช้ Gesture อาจจะยังไม่ตอบโจทย์ของผู้ใช้เท่าไหร่”
อย่างไรก็ตาม ในเมื่อปัจจุบันเทคโนโลยีเป็นสิ่งที่ขับเคลื่อนให้โลกก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ไม่ได้มีเพียงแค่ญี่ปุ่นอีกต่อไปแล้ว ประเทศในเอเชียรอบๆ ไม่ว่าจะประเทศจีน ประเทศเกาหลี ต่างก็มุ่งเน้นและแข่งขันกันในเรื่องของเทคโนโลยี ประเทศของเราก็มีดีไม่แพ้ใคร ก้ควรหันมาใส่ใจและได้แรงสนับสนุนในเรื่องนี้ให้มากขึ้นกว่าในอดีต